Tumgik
nemophilanie · 2 years
Text
ลูกท้องเสียทำอย่างไร อาหารอะไรที่ช่วยบรรเทาอาการทารกท้องเสียได้บ้าง
         เมื่อทารกมีอาการถ่ายเหลวบ่อยครั้งผิดปกติ สังเกตความผิดปกติได้ว่าอุจจาระมีมูกเลือกปนอยู่ แถมยังดูเซื่องซึม อ่อนเพลีย ไม่ร่าเริง อาการเหล่านี้จะทำให้คุณแม่รู้ได้ทันทีว่าทารกท้องเสียอย่างแน่นอน นอกจากการพาลูกไปพบแพทย์แล้ว จะต้องระมัดระวังไม่ให้ร่างกายลูกขาดน้ำซึ่งเป็นอันตรายต่อสุขภาพ และอาหารการกินระหว่างมีอาการท้องเสียก็สำคัญเช่นกัน  วันนี้เรามาไขข้อข้องใจว่าระหว่างท้องเสียทารกทานอะไรได้บ้าง เพื่อช่วยให้ระบบการทำงานในลำไส้ของเขาฟื้นฟูกลับมาแข็งแรงได้ดีเหมือนเดิม
1. น้ำ
           หากลูกท้องเสียในขณะที่ยังดื่มได้แค่นม คุณแม่ก็สามารถให้ลูกดื่มนมแม่ต่อได้ เพราะในน้ำนมของแม่มีจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ ช่วยให้ระบบทางเดินอาหารและระบบขับถ่ายของลูกแข็งแรงขึ้น หรือหมั่นให้ลูกจิบน้ำเปล่าหรือน้ำเกลือแร่โออาร์เอสสม่ำเสมอ น้ำเกลือแร่โออาร์เอสเป็นน้ำเกลือแร่สำหรับทารกที่มีอาการท้องเสียโดยเฉพาะ ใช้น้ำแร่ชนิดนี้ทดแทนการสูญเสียน้ำและเกลือแร่ในร่างกายได้ ไม่ปล่อยให้ลูกขาดน้ำ รวมถึงไม่ควรให้ลูกทานยาหยุดถ่ายเพราะจะทำให้เชื้อโรคที่อยู่ในลำไส้ไม่ถูกขับออกมา ทำให้อันตรายกว่าเดิม
2. ข้าวบด
           เด็กในวัยที่เริ่มทานอาหารได้แล้วให้เน้นอาหารที่ย่อยง่ายเป็นพิเศษ ข้าวบดหรือโจ๊กรสอ่อน ๆ อุดมไปด้วยคาร์โบไฮเดรต ช่วยเพิ่มพลังงานให้ลูก จึงเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับการดูแลลูกท้องเสีย ค่อย ๆ ป้อนในแต่ละมื้อ และอย่าเสิร์ฟข้าวบดคู่กับน้ำผลไม้หรือน้ำหวาน นั่นเพราะของที่มีความหวาน ขนมหวานต่าง ๆ อาจทำให้อาการของลูกแย่ลง รวมถึงหลีกเลี่ยงผักและผลไม้ไปก่อนเพราะมีใยอาหารสูง
3. เนื้อสัตว์ไม่ติดมัน
           โปรตีนเป็นสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกายและการเจริญเติบโต เมนูข้าวบดที่เสริมด้วยเนื้อสัตว์บดละเอียดก็จะช่วยเสริมสารอาหารให้กับร่างกายของลูกได้ เช่น ไก่บดละเอียด หมูบดละเอียด เนื้อปลาที่เนื้อนุ่มทานง่าย เป็นต้น ที่สำคัญคือเป็นเนื้อสัตว์ที่ไม่ติดมัน เพราะไขมันเป็นสารอาหารที่ย่อยยาก ดังนั้น เมื่อเด็กทารกท้องเสียให้เน้นการเสริมโปรตีนด้วยเนื้อสัตว์ที่ทานง่ายและไม่ติดมันจะดีกว่า
4. ทับทิม
         ผลไม้ทับทิมมีสารที่ช่วยบรรเทาการอักเสบ ช่วยแก้อาการท้องเสียดี แนะนำว่าต้องเป็นน้ำทิบทิมสดไม่ผสมเพิ่มเติมให้ลูกจิบในระหว่างวัน
             ทั้งนี้ทั้งนั้น ผู้ปกครองควรปรึกษาคุณหมอร่วมด้วยทุกครั้งเมื่อลูกท้องเสียและอยู่ในวัยที่ทานอาหารได้แล้ว ว่าลูกน้อยสามารถทานอะไรบ้าง อะไรที่ไม่ควรทาน เพื่อให้ได้ข้อมูลที่เหมาะสมกับลูกของเราเอง ขณะป้อนอาหารในแต่ละมื้อควรป้อนในปริมาณน้อยกว่าปกติแต่ป้อนบ่อยครั้ง ก็จะช่วยให้เขาทานอาหารได้ง่ายขึ้น ย่อยง่ายขึ้น และการรักษาความสะอาดทั้งอาหารและข้าวของเครื่องใช้รอบตัว มีสุขอนามัยที่ดีเป็นวิธีที่จะช่วยให้ลูกไม่เจ็บป่วย ซึ่งเป็นสิ่งที่คุณพ่อคุณแม่ทุกคนปรารถนา
ที่มาข้อมูล
https://www.nestlemomandme.in.th/baby-diarrhoea
0 notes
nemophilanie · 2 years
Text
ทำอย่างไรเมื่อทารกท้องเสีย แบ่งปันวิธีดูแลเพื่อให้คุณแม่คลายความกังวล
ทารกเมื่อยังเป็นเด็ก ไม่สามารถบอกกล่าวได้ว่าตัวเองเจ็บป่วย เหล่าคุณแม่จะต้องคอยสังเกตเองว่าลูกน้อยท้องเสียหรือไม่ แต่การสังเกตลักษณะอุจจาระของเด็กทารกแบบใดคืออาการท้องเสียอาจทำได้ยาก เนื่องจากทารกดื่มแต่นมของแม่ทำให้อุจจาระมีลักษณ��นิ่มเหลวเป็นปกติอยู่แล้ว ในขณะเดียวกันทารกท้องเสียก็เป็นภาวะที่เกิดขึ้นได้บ่อย ๆ  คุณแม่ทุกคนต้องเคยเจอลูกน้อยที่มีอาการดังกล่าวมาแล้วแทบจะทุกคน แต่สำหรับคุณแม่มือใหม่อาจไม่ทราบและวิตกกังวลเพราะไม่รู้จะสังเกตอย่างไรดี วันนี้เรามีคำแนะนำในการดูแลลูกน้อยเมื่อมีอาการท้องเสียมาฝากคุณแม่มือใหม่กัน
อาการที่บ่งบอกว่าท้องเสีย
โดยปกติแล้วคุณแม่อาจสังเกตได้ว่าอุจจาระตามปกติของลูกมีลักษณะเป็นอย่างไรเพราะต้องคอยสังเกตทุกวัน แต่ถ้าอุจจาระมีลักษณะต่างจากเดิมร่วมกับอาการต่อไปนี้ คือ ถ่ายอุจจาระบ่อยมากกว่า 3 ครั้งต่อวัน ถ่ายอุจจาระทุก ๆ 2 หรือ 3 ชั่วโมง ลูกน้อยอารมณ์ไม่คงที่ งอแงผิดปกติ ไม่ยอมนอน อาเจียน ไม่ยอมกินนม ริมฝีปากแห้ง ท่าทางซึมหรืออ่อนเพลียกว่าปกติ ไปจนถึงปัสสาวะน้อยผิดปกติ กล่าวได้ว่านี่คืออาการของทารกท้องเสียที่จำเป็นต้องได้รับการดูแลรักษา
การดูแลลูกน้อยด้วยตัวเองเบื้องต้น
เมื่อคุณแม่สังเกตแล้วว่าทารกท้องเสียแน่ ๆ สิ่งที่ควรทำคือให้ลูกดื่มน้ำผสมเกลือแร่สำหรับทารกโดยเฉพาะ ควบคู่ไปกับการให้ดื่มนมแม่ให้บ่อยขึ้นหลังการถ่ายอุจจาระ เพราะในน้ำนมของคุณแม่มีจุลินทรีย์ที่ชื่อ LPR ที่ช่วยลดโอกาสการเกิดอาการท้องเสียได้ และมีสารอาหารอื่น ๆ ที่ช่วยฟื้นฟูให้ระบบการทำงานของทางเดินอาหารและระบบขับถ่ายให้แข็งแรง แต่หากดูแลด้วยวิธีการดังกล่าวแล้วลูกยังไม่ดีขึ้น ปลอบแล้วไม่หยุดร้อง ให้พาลูกไปพบแพทย์ทันที  
การป้องกันไม่ให้เกิดอาการท้องเสีย 
ทั้งนี้ เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้ทารกท้องเสียตั้งแต่ต้นก็เป็นสิ่งที่คุณแม่ควรรู้เช่นกัน เนื่องจากสาเหตุของอาการท้องเสียคือเชื้อโรคและแบคทีเรียที่ปนเปื้อนมากับสิ่งต่าง ๆ รอบตัว รวมถึงอาการเฉพาะในตัวเด็กละคน เช่น แพ้โปรตีนในนมวัว คุณแม่จึงควรให้ความสำคัญสุขอนามัยรอบตัวของลูกน้อย หมั่นล้างมือและของใช้ให้สะอาดก่อนทานอาหารทุกครั้ง หากจำเป็นต้องดื่มนมผง พยายามอย่าชงนมให้จางลง และเมื่อลูกอยู่ในวัยที่รับประทานอาหารได้แล้ว ไม่ควรให้ทานอาหารที่มีกากใยตามธรรมชาติมากจนเกินไปเพื่อเลี่ยงการกระตุ้นให้เกิดอาการท้องเสีย หลีกเลี่ยงน้ำหวานและผลไม้ที่มากเกินพอดี เน้นการรับประทานอาหารย่อยง่าย เช่น ข้าวบด เป็นหลัก
เราเชื่อว่าคุณแม่สามารถดูแลเอาใจใส่ลูกน้อยและสังเกตภาวะผิดปกติของลูกอยู่เสมอ เมื่อรู้วิธีการสังเกตความผิดปกติและอาการของทารกท้องเสียแล้ว ก็จะช่วยให้คุณแม่ระมัดระวังและดูแลลูกได้อย่างถูกวิธีมากขึ้น เพื่อที่จะได้ป้องกันไม่ให้ลูกเจ็บป่วย แต่ไม่ควรละเลยการพบแพทย์เมื่อมีความจำเป็น นอกจากนี้ การป้องกันตั้งแต่ต้นทางด้วยการดูแลสุขอนามัยอย่างถูกวิธีก็จะช่วยให้คุณแม่และลูกมีเวลาอยู่ร่วมกันอย่างราบรื่นมากยิ่งขึ้น โดยไม่มีอาการท้องเสียมากวนใจ
0 notes
nemophilanie · 2 years
Text
เพียงคุณแม่เข้าใจวิธีการดูแลเด็กผ่าคลอด ลูกก็แข็งแรงได้ไร้กังวล
หลาย ๆ คนคงได้ยินกันมาบ้างว่าเด็กที่คลอดด้วยวิธีธรรมชาตินั้นจะมีสุขภาพแข็งแรงและภูมิคุ้มกันที่ดีกว่าเด็กผ่าคลอด จึงทำให้การคลอดแบบธรรมชาติเป็นที่นิยมกว่าการผ่าคลอด แต่คุณแม่บางคนที่จำเป็นต้องใช้วิธีผ่าคลอดเกิดความกังวลขึ้นมาว่าลูกน้อยจะมีสุขภาพแข็งแรงไหม เราอาจเปลี่ยนมุมมองได้ว่าการผ่าคลอดก็เป็นความก้าวหน้าทางการแพทย์อย่างหนึ่งที่ช่วยลดความเสี่ยงและอันตรายระหว่างคลอด ให้คุณแม่คลอดลูกได้อย่างปลอดภัย เพียงแต่จะมีรายละเอียดในการเลี้ยงดูแลลูกต่างจากเด็กคลอดธรรมชาติไปบ้าง เราจึงนำข้อมูลเกี่ยวกับการดูแลเด็กผ่าคลอดมาขอแบ่งปันกัน เพื่อให้คุณแม่พร้อมสำหรับดูแลว่าที่สมาชิกใหม่ในครอบครัวอย่างถูกต้อง
ทำความเข้าใจเรื่องการผ่าคลอด
แพทย์ผู้ทำคลอดจะเป็นคนตรวจและพิจารณาเองว่าควรผ่าคลอดหรือไม่ ซึ่งมีหลายเหตุผลซึ่งล้วนเป็นความเสี่ยงที่จะทำให้เกิดอันตรายระหว่างคลอด เช่น ทารกในครรภ์ไม่กลับหัว อุ้งเชิงกรานของคุณแม่แคบ มีความเสี่ยงจากการผ่าคลอดในครรภ์แรกมาก่อน เป็นต้น การผ่าคลอดนอกจากจะกำหนดเวลาคลอดได้และไม่มีความเจ็บปวดระหว่างคลอดเพราะการวางยาสลบแล้ว ยังมีความปลอดภัยมากขึ้นด้วยเครื่องมือและเทคโนโลยีทางการแพทย์ในปัจจุบัน เพียงแต่สิ่งที่ต้องระวังคือให้ใส่ใจดูแลแผลหลังผ่าคลอดเป็นพิเศษ อีกทั้งเมื่อเด็กผ่าคลอดแล้วเขาจะไม่สามารถดื่มนมแม่หลังคลอดได้ทันที อาจป่วยง่ายกว่าเด็กคลอดธรรมชาติ เพราะไม่ได้รับจุลินทรีย์ที่ดีจากช่องคลอดของคุณแม่ ทำให้เด็กนั้นมีโอกาสจะเจ็บป่วยง่ายมากกว่าเด็กที่คลอดโดยวิธีธรรมชาติ
สร้างสายใยผูกพันหลังคลอด
เพราะการสร้างความผูกพันทางร่างกายหลังคลอดจะช่วยกระตุ้นให้คุณแม่มีน้ำนม ดังนั้นหลังผ่าคลอดแล้วคุณหมอจะมีขั้นตอนวางลูกไว้ที่หน้าอกคุณแม่ก่อนพาไปที่ห้องปรับอุณหภูมิ หรืออาจจะให้คุณพ่อเป็นคนเข้าไปอุ้มเด็กก่อน เพื่อสร้างความผูกพัน เมื่อเด็กผ่าคลอดแล้วคุณแม่รู้สึกตัวเมื่อไรให้โอบอุ้มลูกน้อยเพื่อสร้างสายใยความสัมพันธ์นอกจากนี้ ในช่วง 24 ชั่วโมงแรกหลังคลอด เด็กควรได้รับนมแม่ 6-8 ครั้ง จึงควรให้ลูกเข้าเต้าทุกครั้งเมื่อมีโอกาส
เน้นเสริมภูมิคุ้มกันด้วยน้ำนมแม่
มีงานวิจัยออกมาว่า เด็กผ่าคลอดมีความเสี่ยงต่อการเป็นภูมิแพ้และเจ็บป่วยได้ง่ายกว่าเด็กคลอดธรรมชาติถึง 30% น้ำนมแม่หลังคลอดจะเป็นน้ำนมเหลืองซึ่งอุดมไปด้วยสารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายของท��รกหลังคลอดมากมาย ทั้งจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ โพรไบโอติกส์สายพันธุ์ Bifidobacterium lactis (B. lactis) และสารอาหารอีกกว่า 200 ชนิด ดังนั้นคุณแม่จึงควรเสริมความแข็งแรงด้วยการเน้นให้เขาดื่มน้ำนมแม่เป็นพิเศษ ให้ทารกที่ได้รับนมแม่หลังคลอดจะมีภูมิคุ้มกันเพิ่มขึ้นและสุขภาพแข็งแรง ดังนั้น เมื่อเด็กผ่าคลอดแล้วจึงควรให้เขาดื่มนมแม่เพื่อช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย โดยหลังจาก 3-5 วันนมแม่ก็จะเปลี่ยนเป็นสีขาวและมีปริมาณมากขึ้นเอง 
นอกจากสภาวะทางร่างกาย สภาวะทางจิตใจของคุณแม่แล้วก็สำคัญไม่แพ้กัน คุณแม่ที่ต้องดูแลเด็กผ่าคลอดควรทำจิตใจให้สบาย หลีกเลี่ยงการเกิดความเครียด เพื่อไม่ให้ส่งผลต่อฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับการไหลของน้ำนมได้ คุณแม่จะได้มีน้ำนมให้ลูกและใช้ช่วงเวลานี้สร้างความสัมพันธ์กับลูกได้อย่างเต็มที่ ให้ลูกน้อยได้มีสุขภาพแข็งแรงนั่นเอง
0 notes
nemophilanie · 2 years
Text
แนะนำกาแฟแคปซูล และ 4 รสชาติที่คุณไม่ควรพลาด
​กาแฟแคปซูล คือ กาแฟสดที่บรรจุในแคปซูลซีลปิดสนิทด้วยฟอยล์สำหรับใช้ครั้งเดียว  พัฒนามาจากกาแฟพ็อตส์ ซึ่ง​กาแฟแคปซูลจะสามารถเก็บรักษาทั้งความหอมและของรสชาติกาแฟได้เหมือนดื่มกาแฟสดเลยทีเดียว ในปัจจุบันจึงเป็นที่นิยมมากสำหรับคอกาแฟ เพราะสามารถชงกาแฟได้สะดวกสบายแค่ไม่กี่ขั้นตอน ทั้งยังมีรสชาติที่ถูกใจ ใช้กับเครื่องชงกาแฟสดโดยเฉพาะ ตอบโจทย์สำหรับความสะดวกในชีวิตประจำวันและง่ายต่อการใช้งาน 
4 กาแฟแคปซูล รสชาติหอม อร่อย ที่คุณห้ามพลาด
กาแฟแคปซูล เนสกาแฟ ดอลเช่ กุสโต้ อเมริกาโน่ ริช อโรมา
ผสมผสานเมล็ดกาแฟคุณภาพสูงสองสายพันธุ์ - อาราบิก้าและโรบัสต้า 
ระดับความเข้ม 10 จาก 11 กาแฟดำแก้วใหญ่แก้วนี้ (230 มล.) 
รังสรรค์ขึ้นมาให้มีรสชาติที่เข้มข้นแต่ยังคงแฝงไว้ด้วยกลิ่นที่นุ่มนวลเหมือนดอกไม้ 
กาแฟแคปซูลสตาร์บัคส์ ดอลเช่ กุสโต้ คาเฟ่ ลาเต้
แคปซูลกาแฟสดได้แรงบันดาลใจจากเมนูยอดนิยมของสตาร์บัคส์ 
รสชาตินุ่มนวลนี้ด้วยวัตถุดิบระดับพรีเมี่ยมด้วยเมล็ดกาแฟอาราบิก้า 100% พร้อมให้รสชาติที่นุ่มและกลมกล่อมจากฟองนมนุ่มละมุนหอม
กาแฟแคปซูลเนสกาแฟ ดอลเช่ กุสโต้ คาปูชิโน่
คาปูชิโน่กาแฟที่เป็นเมนูเอกลักษ��์ของประเทศอิตาลี ผสานกันระหว่างเอสเพรสโซช็อตเข้มข้น มีกลิ่นที่หอมและหนักแน่น และนมที่ตีเป็นฟอง 
หนึ่งกล่องประกอบไปด้วยแคปซูลกาแฟ 8 แคปซูล และแคปซูลนม 8 แคปซูล - ชงคาปูชิโน่ ได้ทั้งหมด 8 แก้ว
กาแฟแคปซูลสตาร์บัคส์ วีรันด้า เบลนด์ อเมริกาโน่
รสชาติกาแฟที่กลมกล่อมด้วยกลิ่นโกโก้อันอ่อนละมุนของ สตาร์บัคส์ เนสกาแฟ ดอลเช่ กุสโต้ วีรันด้า เบลนด์ อเมริกาโน่ พร้อมกลิ่นกรุ่นจางๆ ของถั่วคั่ว ทำให้คุณนึกถึงลักษณะเฉพาะของสตาร์บัคส์ 
ได้รับแรงบันดาลใจจากเกษตรกรชาวไร่กาแฟในลาตินอเมริกา 
ด้วยรสชาติที่ลงกาแฟสูตรนี้จึงเกิดมาเพื่อเติมเต็มให้กับการนั่งเล่นผ่อนคลายริมระเบียง
เมื่อรู้จักกาแฟแคปซูลแล้ว คุณสามารถเลือกรสชาติกาแฟที่ใช่สำหรับคุณ ไม่ใช่แค่เฉพาะรสชาติข้างบน แต่ยังมีอีกหลาหลายรสชาติให้เลือก เพื่อให้มีความสะดวกสบายในการดื่มด่ำกับรสชาติของกาแฟ และไปช้อปกาแฟแคปซูลกันได้ที่ https://www.dolce-gusto.co.th/coffee-and-drinks
0 notes
nemophilanie · 2 years
Text
วิธีดูแลทารกเป็นผื่น ทำอย่างไรให้ลูกน้อยห่างไกลผดผื่นกวนใจ
นอกจากการดูแลความสะอาดของเสื้อผ้า สิ่งของเครื่องใช้ และสภาพแวดล้อมรอบตัวเด็กแล้ว สิ่งสำคัญคือการเพิ่มภูมิคุ้มกันทางร่างกายให้ผิวหนังของลูกแข็งแรง ทานอาหารที่เหมาะสมมีสารอาหารครบตามวัย และดื่มนมแม่ให้ได้นานที่สุด นอกจากจะช่วยป้องกันอาการต่าง ๆ ที่จะตามมาเมื่อทารกเป็นผื่นแล้ว ยังช่วยให้เขามีสุขภาพร่างกายแข็งแรงอีกด้วย
ภูมิคุ้มกันบนผิวที่บอบบางของเด็กแรกเกิดยังพัฒนาได้ไม่เต็มที่ ทารกเป็นผื่นจึงเป็นอาการที่พบเห็นได้ทั่วไป ซึ่งสร้างความกังวลใจให้กับคุณแม่ อีกทั้งผื่นยังมีหลายลักษณะหลายสาเหตุ ไม่ว่าจะเป็นผื่นจา��ภูมิแพ้ ผื่นจากต่อมเหงื่อ ผื่นจากลมพิษ และจากสาเหตุอื่น ๆ อีกมากมาย แต่คุณแม่ไม่ต้องวิตกกังวลมากจนเกินไป เพราะถ้าหากรู้วิธีการดูแลผิวหนังของทารกอย่างถูกต้อง ก็จะช่วยป้องกันไม่ให้ทารกเป็นผื่นได้
1. สังเกตว่าลูกสัมผัสอะไรแล้วมีผื่นบ้าง
ทารกเป็นผื่นมีที่มาจากหลากหลายสาเหตุ จึงต้องมช่างสังเกตกันเพื่อระวังไม่ให้เด็กสัมผัสสิ่งที่ทำให้ผิวหนังของลูกมีอาการแพ้ เช่น เด็กบางคนแพ้นมวัวจึงทำให้มีผื่นขึ้น เด็กบางคนแพ้สารทำความสะอาดที่ปรุงแต่งกลิ่นสังเคราะห์ เด็กบางคนผิวระคายเคืองง่าย เด็กบางคนได้รับพันธุกรรมภูมิแพ้ผิวหนังมาจากคุณพ่อและคุณแม่ จึงต้องระวังไรฝุ่นและละอองเกสรดอกไม้เป็นพิเศษ เป็นต้น
2. รักษาความสะอาดและป้องกันความอับชื้น
ความอับชื้นบนผิวหนังเป็นอีกสาเหตุจะทำให้ทารกเป็นผื่นได้ เนื่องจากต่อมเหงื่อของเขายังทำงานได้ไม่สมบูรณ์ หากอับชื้นจากเหงื่อหรือน้ำที่เช็ดไม่แห้งจะทำให้ผิวหนังอุดตัน อีกทั้งต่อมไขมันบนผิวหนังของทารกอายุ 2 สัปดาห์ขึ้นไปจะทำงานมากเพราะถูกกระตุ้นจากฮอร์โมนในน้ำนมแม่ บริเวณที่มีต่อมไขมันอย่างเช่นตามข้อพับต่าง ๆ จึงมีโอกาสอักเสบและเป็นผื่นได้ง่ายเป็นพิเศษหากคราบไขมันกับเชื้อยีสต์บนผิวหนังมีปฏิกิริยาต่อกัน
3. ไม่ควรอาบน้ำที่อุ่นมากเกินไป และบ่อยครั้งเกินไป
ไม่เฉพาะความอับชื้นเท่านั้นที่ทำให้ทารกเป็นผื่นได้ หากผิวหนังแห้งจนขาดความชุ่มชื้นก็ทำให้เกิดผดผื่นได้เช่นกัน ซึ่งสาเหตุเกิดจากการอาบน้ำที่อุ่นมากเกินไปและอาบบ่อยครั้งเกินไปจนผิวขาดความชุ่มชื้น ยิ่งทารกที่ต้องใช้ผ้าอ้อมก็จะทำให้เกิดผื่นแพ้ผ้าอ้อมได้ จึงควรให้ลูกน้อยอาบน้ำในอุณหภูมิที่อุ่นพอดี และทาผิวของลูกด้วยโลชั่นสำหรับเด็กอยู่เสมอ เพราะโลชั่นสำหรับเด็กจะมีความอ่อนโยน รวมถึงการเลือกเสื้อผ้าที่มีเนื้อผ้าเบาสบาย ผลิตจากเส้นใยธรรมชาติ ก็ช่วยปกป้องดูแลผิวของเขาได้อีกทางหนึ่ง
4. ป้องกันอย่าให้ลูกเกาผดผื่น
  สิ่งสำคัญเมื่อลูกเป็นผื่นคันขึ้นมา คือ พยายามอย่าให้เขาเกาบริเวณที่ผื่นขึ้นเด็ดขาด สาเหตุเพราะการเกาจะทำให้ผิวหนังของเขาเป็นแผล ซึ่งจะทำให้เชื้อโรคต่าง ๆ เข้าสู่ผิวหนังได้ง่ายขึ้น ทำให้มีอาการแทรกซ้อนอย่างอื่นจากการติดเชื้อแบคทีเรียตามมา หากรู้สาเหตุของผื่นก็ให้หลีกเลี่ยงและทานยาแก้แพ้ได้ แต่ถ้าผ่านไปแล้วหนึ่งวันอาการไม่ดีขึ้นเลย ควรพาลูกไปพบแพทย์เฉพาะทางต่อไป
0 notes
nemophilanie · 2 years
Text
ข้อสังเกตที่คุณแม่สังเกตได้ง่าย ๆว่าลูกถ่ายเหลวเป็นปกติ หรือกำลังท้องเสีย
เด็กทารกที่ไม่สามารถพูดออกมาโดยตรงได้ เหล่าคุณแม่จะต้องหัดสังเกตว่าอาการที่ลูกแสดงออกว่าไม่สบายมีอะไรบ้าง อย่างเช่น ถ้าลูกถ่ายเหลว เราจะรู้ได้อย่างไรว่าเป็นการถ่ายเหลวที่เป็นปกติของทารก หรือเป็นอาการป่วยกันแน่ เพราะเด็กวัยทารกดื่มแต่นมแม่อย่างเดียวก็เลยถ่ายเหลวปกติอยู่แล้ว คุณแม่บางคนอาจจะกังวลไปเอง เรามี 4 ข้อสังเกตง่าย ๆ เพื่อให้คุณแม่มือใหม่รู้ว่า ลูกถ่ายเหลวเป็นปกติอยู่แล้วหรือมีอาการท้องเสียกันแน่
1. ลักษณะของอุจจาระ
น้ำนมแม่คืออาหารหลักของเด็กทารก ในน้ำนมมีส่วนช่วยในการย่อยอาหาร จึงทำให้อุจจาระของทารกมีความเหลวโดยธรรมชาติ ลักษณะคล้ายซุปถั่วหรือซุปฟักทอง สีเหลืองทอง กากน้อย อาจมีบ้างที่เป็นเมือกหรือเป็นฟองปนอยู่ อันนี้ถือว่ายังปกติดี แต่ถ้ามีน้ำปนออกมามาก มีเลือดปน หรือเป็นสีเขียว ก็มั่นใจได้เลยว่ามีการป่วยหรือมีความผิดปกติเกิดขึ้นแน่นอน  ซึ่งจำเป็นต้องพบแพทย์เพื่อรักษา เพราะลูกอาจท้องเสีย
2. ความถี่ในการถ่ายเหลว
การถ่ายเหลวของเด็กเล็กเป็นอาการปกติ ตราบใดที่ยังไม่มีอาการน่ากังวลอื่น ๆ ร่วมด้วย เพราะนมแม่จะช่วยระบายลำไส้ อาจถ่ายบ่อยประมาณ 3 ครั้งต่อวันก็ยังอยู่ในเกณฑ์ปกติ แต่ถ้าสังเกตแล้วว่ามีความถี่ในการถ่ายอุจจาระมากกว่านั้นจนผิดไปจากปกติ ให้คาดเดาไว้เลยว่าลูกอาจมีอาการป่วยท้องเสียเกิดขึ้น แต่ถ้าลูกถ่ายเหลวแล้วอาการไม่หนัก ยังสามารถทานอาหารได้ตามปกติ ให้คุณแม่ดูแลเบื้องต้นโดยการให้ดื่มน้ำเกลือแร่สำหรับเด็กควบคู่กับการทานนมแม่ต่อไป  และงดอาหารที่ไม่เหมาะกับผู้อาการท้องเสีย เช่น น้ำผลไม้ เครื่องดื่มที่มีน้ำตาล อาหารไขมันสูง เป็นต้น
3. ความอยากอาหาร
อาการป่วยของเด็กสามารถสังเกตจากอารมณ์ได้เช่นกัน เมื่อลูกน้อยหิวเราจะสังเกตได้ว่าเขามีอาการร้องไห้โยเยซึ่งเป็นปกติของเด็ก แต่หากเขาดูซึม ๆ ไม่มีอาการอยากอาหาร หรือเมื่อให้เด็กดื่มนมแต่มีอาการอาเจียนออกมาอีก ไปจนถึงดื่มน้ำผสมผงเกลือแร่ไม่ได้ หากลูกถ่ายเหลวผิดปกติพร้อมกับมีอาการเหล่านี้แสดงว่าเป็นอาการท้องเสียโดยไม่ต้องสงสัย 
4. อาการทางร่างกายอื่น ๆ ที่ต่างจากปกติ
นอกจากอาการดังกล่าวข้างต้นทั้ง 3 ข้อ ยังมีอาการอื่น ๆ อีกที่แสดงผ่านออกมาทางร่างกายซึ่งเหล่าคุณแม่ต้องสังเกต ได้แก่ มีไข้ หายใจหอบเหนื่อย ไม่ถ่ายปัสสาวะนานเกิน 6 ชั่วโมง และมีอาการชัก เมื่อมีอาการเหล่านี้เกิดขึ้นให้ดูแลเขาในเบื้องต้น แล้วรีบพาไปพบแพทย์อย่างเร็วที่สุด เพื่อทำการรักษาอย่างถูกต้องให้ทันท่วงที นอกจากนี้ ถึงแม้จะไม่ใช่อาการท้องเสีย แต่ถ้ามีมูกหรือเลือดปนบ่อยผิดปกติก็สามารถพาลูกไปพบแพทย์ได้เลยเช่นกัน
โดยวิธีการป้องกันไม่ให้ลูกถ่ายเหลวอย่างผิดปกตินั้น ทำได้โดยปรุงอาหารให้สุกดีด้วยความร้อน ดูแลเรื่องสุขอนามัยและความสะอาดอย่างเหมาะสม ทำความสะอาดสิ่งของรอบตัวเพราะลูกอาจหยิบของเข้าปากโดยที่เราไม่ทันสังเกตซึ่งอาจจะเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการป่วย เพียงเท่านี้ลูกน้อยก็ห่างไกลจากอาการท้องเสียแล้วค่ะ  
0 notes
nemophilanie · 2 years
Text
เลือกนมผงเด็กให้เหมาะกับลูกน้อยของเรา ทำอย่างไรได้บ้าง
ช่วงวัยแรกเกิดถึง 3 ปีเป็นช่วงเวลาในการพัฒนาร่างกายลูกของเราที่ดีที่สุด ดังนั้นการเลือกนมผงเด็กเลยต้องละเอียดอ่อนกันสักหน่อย เพื่อให้ลูกของเรามีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง พร้อมเรียนรู้โลกกว้างไปกับครอบครัวได้อย่างเต็มที่ในทุก ๆ วัน
น้ำนมแม่มีสารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อเด็กแรกเกิด คิดว่าเรื่องนี้หลาย ๆ คนคงรู้อยู่แล้ว แต่ในเมื่อคุณแม่บางท่านมีความจำเป็นที่ไม่สามารถให้นมลูกได้ นมผงเด็กจึงเป็นทางเลือกที่จะช่วยให้ลูกน้อยได้รับสารอาหารที่ต้องการอย่างเพียงพอในแต่ละวัน ถึงแม้ว่านมผงเด็กจะมีหน้าตาคล้าย ๆ กัน แต่ไม่ได้หมายความว่าเด็กทุกคนจะสามารถดื่มนมผงทุกยี่ห้อได้ เพราะเด็กบางคนอาจต้องการนมผงสูตรพิเศษหรือควรเปลี่ยนตามความต้องการหรือสารอาหารที่จำเป็นในแต่ละช่วงวัยของเขา วันนี้เราชวนคุณแม่มารู้จักนมผงแต่ละสูตรกัน ว่ามีความแตกต่างกันอย่างไรบ้าง และจะเลือกอย่างไรให้เหมาะกับลูกของเรามากที่สุดค่ะ
นมผงสำหรับเด็กแรกเกิด ดื่มได้จนถึง 1 ขวบ
นมผงสำหรับเด็กแรกเกิดจะเรียกว่านมผงเด็กสูตร 1 ซึ่งจะมีการใส่สารอาหารให้เหมาะกับทารกโดยเฉพาะอยู่แล้ว โดยจะทำให้มีปริมาณโปรตีนต่ำกว่าสูตรอื่น ๆ แต่มีคุณค่าทางสารอาหารที่เด็กต้องการครบถ้วน ทั้งคาร์โบไฮเดรต ไขมัน วิตามิน และเกลือแร่ โดยสัดส่วนของไขมันจะมากกว่า ด้วยปริมาณสารอาหารแบบนี้ได้มีการวิจัยมาแล้วว่าจะเหมาะกับเด็กวัยนี้ เพราะร่างกายของเขาเริ่มพัฒนาระบบย่อยและการดูดซึม
นมผงสำหรับเด็กอายุ 6 เดือนถึง 3 ขวบ
นมผงเด็กอีกสูตรหนึ่งที่เรียกว่าสูตร 2 ซึ่งจะมีปริมาณโปรตีนมากกว่าสูตร 1 และยังมีสารอาหารที่จำเป็นอย่างแคลเซียม ฟอสฟอรัส และโซเดียมเพิ่มเข้ามาด้วย เมื่อลูกอายุถึง 6 เดือนแล้วเราอาจจะเปลี่ยนมาใช้สูตรนี้ก็ได้ แต่โดยปกติแล้วเด็กอายุ 6-12 เดือนก็เริ่มทานอาหารอื่น ๆ ได้บ้างแล้ว หากพิจารณาดูและเห็นว่าลูกของเราได้โปรตีนเพียงพอก็ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนมาใช้นมผงสูตร 2 ก็ได้ เพราะเขาสามารถดื่มได้ทั้งสูตร 1 และสูตร 2 เลยค่ะ
นมผงสำหรับเด็กอายุ 1 ปีขึ้นไป และดื่มได้ทั้งครอบครัว
นมผงอีกหนึ่งสูตรจะเรียกว่านมผงเด็กสูตร 3 ซึ่งมีโปรตีนและแคลเซียมเกือบจะเท่ากับนมวัวเลยทีเดียว และนอกจากนี้ยังมียังมีวิตามินกับแร่ธาตุอีกด้วย ด้วยสารอาหารที่ครบถ้วนแบบนี้เองจึงเหมาะกับการเสริมสร้างพัฒนาการทางสมองและกระดูกให้แข็งแรงสมวัยที่กำลังพัฒนาอย่างรวดเร็ว ไม่ใช่แค่เด็กเล็กที่ดื่มได้เท่านั้น แต่สามารถใช้นมผงสูตร 3 นี้เสริมสารอาหารให้กับคนในครอบครัวได้อีกด้วย 
นมผงสูตรพิเศษ สำหรับเด็กรายบุคคล
เด็กบางคนแพทย์อาจพิจารณาว่าควรได้รับนมผงเด็กสูตรพิเศษโดยเฉพาะ เช่น เด็กทารกแรกเกิดที่มีน้ำหนักต่ำกว่าเกณฑ์ เด็กทารกที่คลอดก่อนกำหนด เด็กที่เสี่ยงต่อการเกิดโรคภูมิแพ้ เด็กที่เสี่ยงต่ออาการไม่แข็งแรง เป็นต้น ทั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นเด็กที่ต้องการนมผงสูตรพิเศษหรือเด็กที่ดื่มนมได้ทุกสูตร คุณพ่อคุณแม่ก็ไม่ควรละเลยการปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างถูกต้องนะคะ
0 notes
nemophilanie · 2 years
Text
เลือกนมกล่องเด็กอย่างไรกันให้ดีต่อพัฒนาการเด็ก
น้ำนมแม่เป็นสารอาหารที่ดีที่สุดสำหรับลูกน้อยวัยแรกเกิด เรื่องนี้หลายคนทราบกันดี แต่เมื่อโตขึ้นจนมีอายุครบขวบแรก นมกล่องเด็กก็เริ่มมีส่วนสำคัญต่อการเจริญเติบโตทั้งร่างกายและสมอง เพราะนมกล่องจะช่วยเสริมสารอาหารที่จำเป็น ควบคู่ไปกับระหว่างที่เด็กทานอาหาร 3 มื้อในชีวิตประจำวัน ทุกวันนี้มีนมกล่อง UHT อยู่หลายยี่ห้อให้คุณแม่ได้เลือกตามที่ต้องการ วันนี้เรามาดูว่าสิ่งสำคัญสำหรับการเลือกซื้อนมกล่องให้ลูกมีอะไรตามนี้กันเลย
1. รสชาติของนมกล่อง
มีคุณแม่จำนวนไม่น้อยเลือกนมกล่องรสชาติต่าง ๆ เพรา��คิดว่าจะทำให้เด็กดื่มนมได้ง่ายขึ้น พร้อมกับดีต่อพัฒนการเด็ก แต่ความจริงแล้ววิธีการเลือกนมกล่องเด็กให้กับลูกอันดับแรก ควรเป็นนมกล่องที่ไม่ปรุงแต่งรสชาติเพิ่มเติมมากจนเกินไป มีรสจืด การเลือกรสชาติตามธรรมชาติของนมจะช่วยฝึกให้เด็กไม่ติดรสชาติปรุงแต่งที่มีความหวานมากจนเกินไป นอกจากช่วยลดอาการติดหวานที่จะส่งผลต่อพฤติกรรมการทานอาหารแล้วยังช่วยป้องกันฟันผุได้อีกด้วย แต่นมกล่องที่คุณแม่เลือกไม่ควรจืดสนิทแบบไร้น้ำตาลไปเลย เพราะอาจทำให้เด็กนั้นดื่มนมยากกว่าเดิม ควรเป็นนมที่ดื่มง่ายเพื่อให้ดื่มได้จนหมด จะได้รับสารอาหารได้อย่างเต็มที่
2. สารอาหารที่จำเป็นครบถ้วน
สารอาหารที่ควรมีในนมกล่องเด็กได้แก่ โอเมก้า 3, 6 และ 9 ซึ่งจำเป็นสำหรับระบบประสาทและสมอง, ธาตุเหล็ก, แคลเซียม, วิตามินบี 6 และ 12 ไปจนถึงใยอาหารจากธรรมชาติ สารอาหารมีความสำคัญอย่างมาก เพราะสารอาหารเหล่านี้สามารถเสริมต่อการพัฒนาการทางร่างกาย ทั้งการเติบโตของอวัยวะต่าง ๆ ภูมิคุ้มกันทางร่างกาย ไปจนถึงพัฒนาการทางอารมณ์และสติปัญญาของเด็ก
3. ช่วงวัยที่เหมาะสมกับการเน้นสารอาหาร
ในแต่ละช่วงวัยของเด็กต้องการสารอาหารจำเป็นแตกต่างกันไปตามพัฒนาการในแต่ละด้าน การเลือกนมกล่องเด็กที่เหมาะกับวัยของลูกในช่วงนั้น ๆ เลยต้องให้ความสำคัญเช่นกัน เด็กเล็กในวัย 1-2 ขวบจำเป็นต้องได้รับสารอาหารพื้นฐานที่หลากหลายเพื่อเสริมสร้างการเจริญเติบโตทางร่างกาย ส่วนเด็กเล็กในวัย 3-4 ขวบก็จะเริ่มซุกซนและมีความอย่างรู้อยากเห็นอยากลอง จำเป็นต้องเสริมสร้างโภชนการด้วยแคลเซียมและโปรตีนเพื่อบำรุงกระดูกและกล้ามเนื้อให้แข็งแรงสมวัย ในขณะที่เด็กน้อยอายุ 5-6 ขวบเริ่มเรียนรู้ที่จะพูดและทำความเข้าใจอารมณ์แบบต่าง ๆ จึงควรเน้นการบำรุงระบบประสาทและสมอง เป็นต้น 
การเลือกนมกล่องเด็กที่เหมาะสมกับลูกจึงเป็นสิ่งที่พ่อแม่ควรพิจารณาเวลาเลือกซื้อเพราะมีส่วนช่วยต่อพัฒนาการและสุขภาพร่างกายของเด็ก แต่นมกล่องเป็นเพียงตัวช่วยเสริมสารอาหารเท่านั้น เหล่าคุณแม่ควรให้ความสำคัญไปพร้อมกับการเลือกซื้อวัตถุดิบเพื่อทำอาหารที่มีประโยชน์ในแต่ละวัน ดังนั้น คุณแม่ควรเสริมสร้างพัฒนาการของลูกน้อยด้วยมื้ออาหารที่มีสารอาหารครบ 5 หมู่ แล้วเสริมด้วยการดื่มนมกล่องเด็กที่เหมาะสมกับพัฒนาการในแต่ละช่วยวัย เพื่อสุขภาพร่างกายที่สมบูรณ์แข็งแรงครบทุกด้าน
0 notes
nemophilanie · 2 years
Text
มาชมกัน! เครื่องชงกาแฟแคปซูล NESCAFÉ® Dolce Gusto®  แตกต่างกันยังไงบ้าง
สำหรับคนที่ชื่นชอบการดื่มกาแฟ วันนี้เราจะพาทุกท่านมารู้จักกับ เครื่องชงกาแฟแคปซูล NESCAFÉ® Dolce Gusto® ที่กำลังเป็นที่นิยม ซึ่งมีความพิเศษเฉพาะตัวนั่นก็คือสามารถรักษาคุณภาพกาแฟไว้ด้วยการปิดผนึกสูญญากาศ ให้ความสดใหม่ของรสกาแฟยังคงอยู่ และสามารถลิ้มรสเครื่องดื่มได้หลากหลาย แต่รู้หรือไม่ว่า เครื่องชงกาแฟ NDG แต่ละรุ่น มีความต่างกันอย่างไรบ้าง ไปดูกัน
3 รุ่นของเครื่องชงกาแฟแคปซูล แคปซูล NESCAFÉ® Dolce Gusto®
เครื่องชงกาแฟแคปซูล Piccolo XS
NESCAFÉ® Dolce Gusto® Piccolo XS เป็นเครื่องชงกาแฟแคปซูลระบบปรับน้ำด้วยมือ  ตัวเครื่องมีขนาดกะทัดรัด เหมาะสำหรับที่อยู่อาศัยที่มีพื้นที่ไม่ใหญ่มาก ระบบตัวเครื่องตอบโจทย์สำหรับผู้ที่ชื่นชอบ��วบคุมระดับน้ำในการชงเครื่องดื่มด้วยตัวเอง สามารถสร้างสรรค์เครื่องดื่มแบบต่าง ๆ ได้อย่างไร้ขีดจำกัดและมีอิสระ  มี 2 สีให้เลือก ซึ่งก็คือสีขาวและสีดำ
https://www.dolce-gusto.co.th/piccolo-xs-white-new.html 
เครื่องชงกาแฟแคปซูล Genio S Plus
เครื่องชงกาแฟแบบแคปซูลขนาดเล็กกระทัดรัดที่มีระบบการทำงานแบบอัตโนมัติ  เหมาะกับผู้ใช้ที่อาศัยอยู่ในบ้านและคอนโดที่มีพื้นที่จำกัดหรือมีที่วางไม่มาก สามารถทำกาแฟระดับมืออาชีพได้ด้วยตัวเอง พร้อมฟองกาแฟละเอียด (เครมา) ที่นุ่มนวลด้วยแรงดันน้ำสูง 15 บาร์จากหัวฉีดภายในเครื่อง ประกอบกับแคปซูลอัจฉริยะที่รักษาความสดของกาแฟแท้คั่วบดไว้��ายในด้วยเทคโนโลยีเฉพาะตัว ทำให้คุณสามารถสรรสร้างดื่มด่ำไปกับรสชาติกาแฟที่หอมกรุ่นได้ทุกเวลาที่ใจต้องการ
https://www.dolce-gusto.co.th/genio-s-plus-red.html 
เครื่องชงกาแฟแคปซูล Mini Me White
NESCAFÉ® Dolce Gusto® Mini Me เป็นเครื่องชงกาแฟแคปซูลระบบออโต้ มีดีไซน์ทันสมัยสวยงาม เหมาะสำหรับคนชอบตกแต่งบ้านให้สวยงาม มี 4 สีให้เลือก นั่นก็คือ สีขาว, สีดำ แอนทราไซท์, สีแดงเทา, และสีเชอร์รี่แบล๊ค (แดงดำ) ตัวเครื่องสามารถทำกาแฟคุณภาพระดับมืออาชีพได้ด้วยตัวเอง พร้อมฟองละเอียดของกาแฟ (เครมา) ที่นุ่มนวล ด้วยแรงดันน้ำสูง 15 บาร์จากหัวฉีดในเครื่อง
https://www.dolce-gusto.co.th/minime-white.html
เมื่อทราบว่าแต่ละรุ่นแตกต่างกันอย่างไรบ้างแล้ว คุณสามารถเลือกเครื่องชงกาแฟแคปซูลที่เหมาะกับไลฟ์สไตล์ได้ด้วยการเปรียบเทียบข้อดีและความแตกต่าง เลือกซื้อรุ่นที่สามารถตอบโจทย์คุณได้ หรือสนใจเครื่องชงกาแฟแคปซูลในแบบต่าง ๆ  สามารถสั่งซื้อได้ที่ https://www.dolce-gusto.co.th/machines-and-accessories
0 notes
nemophilanie · 2 years
Text
3 เมนูไข่ ทำเองง่ายๆเมื่ออยู่บ้าน
ช่วงนี้ใครที่กำลังเบื่อจากการที่ต้องอยู่แต่ในบ้านจนไม่รู้จะทำอะไรดี มาเข้าครัวทำอาหารกันดีกว่า การทำอาหารให้อร่อยไม่ใช่เรื่องยากถ้าเราเรียนรู้เทคนิคและเคล็ดลับในการทำอาหารที่ถูกต้อง จะเมนูไหนๆก็อร่อยถูกปาก ซึ่งหนึ่งในเมนูเริ่มต้นสำหรับมือใหม่หัดเข้าครัวคงหนีไม่พ้นเมนูไข่อย่างแน่นอน ไข่เป็นวัตถุดิบที่สามารถหาซื้อง่าย มีสารอาหารและคุณประโยชน์มากมาย คนที่ทำอาหารไม่เก่งก็สามารถสร้างสรรค์เมนูอร่อย ๆ ได้ นอกจากนี้ยังมีรสชาติที่เข้ากันได้กับอาหารเมนูอื่น ๆ เรามาดูกันดีกว่าว่าเมนูจากไข่ที่น่าสนใจมีอะไรบ้าง
3 เมนูไข่ที่ทำเองได้ง่ายๆที่บ้าน
เมนูไข่ทอร์นาโด
ไข่ทอร์นาโด เมนูนี้นำไข่ไก่ผสมกับนมสด ซึ่งจะทำให้รสชาติไข่อ่อนละมุนมากขึ้น เพื่อเพิ่มความน่าทานไข่เจียวทอร์นาโดต้องใช้ความพิถีพิถัน เทคนิคคือการตีไข่ให้เนียนเป็นเนื้อเดียวกันโดยไม่มีฟอง จากนั้นใส่ลงกระทะที่น้ำมันร้อน เมื่อไข่เซ็ตตัวใช้ตะเกียบค่อย ๆ หมุนเข้าหากันเป็นวงกลม รอจนไข่เริ่มสุกก็ตักวางบนข้าว โรยหน้าด้วยแฮมหรือเบคอนทอดเพิ่มรสชาติให้อร่อยและได้สารอาหารครบถ้วนยิ่งขึ้น
เมนูไข่ตุ๋นไมโครเวฟ
ไข่ตุ๋นไมโครเวฟ เมนูประจำบ้านที่ทุกคนรู้จักกันเป็นอย่างดี ไข่ไก่เนื้อเนียนถูกเติมด้วยซอสปรุงอาหารแม็กกี้ ให้รสกลมกล่อมยิ่งกว่าเดิม ปรุงรสชาติไข่แล้วนำเข้าไมโครเวฟเพียงครู่เดียว จะได้ไข่ตุ๋นไมโครเวฟที่เนื้อเนียนนุ่ม เพิ่มคุณค่าทางอาหารด้วยการใส่หมูสับและต้นหอมโรยหน้า เสิร์ฟพร้อมข้าวสวยร้อน ๆ ทานคู่กันแล้วเพลินมาก
เมนูไข่เจียวกรอบฟู 
ไข่เจียวกรอบฟู เมนูไข่พื้นฐานที่คนทำอาหารไม่เก่งสามารถทำได้ แค่นำไข่ไก่ตีให้เข้ากับซอสแม็กกี้เพื่อเพิ่มรสชาติความอร่อยจนเป็นเนื้อเดียวกัน โดยเคล็ดลับความอร่อยที่จะทำให้ไข่เจียวกรอบฟูนั่นก็คือจะต้องตีให้มีฟองอากาศเข้าไปผสมกับเนื้อไข่ให้ได้มากที่สุด ตอนลงกระทะต้องใช้น้ำมันที่ร้อนจัดค่อนข้างเยอะ เทไข่ลงไปจะได้ไข่เจียวที่กรอบสวยงาม
ขอบคุณที่มา https://www.maggi.co.th/recipesth/%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%99%E0%B8%B9%E0%B9%84%E0%B8%82%E0%B9%88
1 note · View note