Tumgik
harapear · 6 years
Text
Day4 - Spell #เตนิว #Fictober2018
เสียงที่ไพเราะที่สุดในโลก.... 
สำหรับผมคงเป็นเสียงชัตเตอร์จากกล้องถ่ายรูปนี่แหละ...
ปลายนิ้วของผมกดลงบนปุ่มชัตเตอร์ของกล้อง leica M10 กล้องคู่ใจของผมอีกครั้ง ก่อนจะถอยกล้องให้ห่างจากใบหน้าเพื่อเช็ครูปที่เพิ่งถ่ายไป
บนจอปรากฏภาพของเพื่อนสนิทของผมในท่านั่ง พร้อมด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม นิวสวมเสื้อสีฟ้าแบรนด์ look cat me ของตัวเอง ที่กลางอกมีรูปน้องแมวอ้วนตัวหนึ่งนั่งอยู่ ดูๆไปก็เหมือนคนใส่เหมือนกันแฮะ...
“รูปเป็นไง ทำไมขมวดคิ้วแบบนั้นว่ะเต ไม่ดีหรอ”
“อ้วน...” แต่น่ารัก ผมต่อประโยคนั้นในใจของตัวเอง
“เอ้า ตากล้องอะไรว่ะ ถ่ายให้คนอื่นอ้วน ถ่ายใหม่เลย”
“ก็คือไม่คิดจะโทษตัวเองที่อ้วน”
“ถ่ายใหม่เลย เอาให้ฉันดูดี” 
“เออๆ”
จริงๆก็ไม่ได้อ้วนอะไรขนาดนั้น ผมแค่อยากแกล้งเขา แต่ก็ยอมถ่ายให้ใหม่ตามคำขอนั่นแหละ
วันนี้นิวชวนผมให้มาถ่ายรูปเสื้อแบรนด์ look cat me ของเขาที่กำลังจะเปิดตัวเร็วๆนี้เพื่อนำไปใช้ในการโปรโมท เขาเกริ่นเรื่องนี้กับผมมาสักพักแล้ว แต่เพิ่งจะโทรตกลงกันได้เมื่อคืนนี้ว่าให้เป็นวันนี้เพราะเราว่างตรงกันพอดี
สถานที่ที่พวกเรามาถ่ายรูปเป็นร้านอาหารที่ผมกับนิวมาด้วยกันบ่อยๆ เพราะถูกใจในรสอาหารและการตกแต่งร้านที่ค่อนข้างมีสไตล์ พวกเราจึงเลือกที่นี่เป็นโลเคชั่นในการถ่าย บรรยากาศดีๆในร้านนี้เชื่อว่าใครที่ชื่นชอบในการถ่ายรูปแบบผมคงอดไม่ได้ที่จะยกกล้องขึ้นมาบันทึกภาพไว้แน่
ที่ผมหลงใหลในการถ่ายรูปนั้น เริ่มมาจากที่ผมเป็นคนชอบพวกเทคโนโลยี และชอบศิลปะ ชอบวาดรูป การถ่ายรูปจึงตอบโจทย์ผมได้เป็นอย่างดี รวมเอาสิ่งที่ผมรักไว้ด้วยกัน เป็นการถ่ายทอดผลงานศิลปะผ่านเจ้าเทคโนโลยีชิ้นเล็กนี้
ทุกครั้งที่ผมพบกับวิวสวยๆ แสงดีๆ มุมโดนๆ ราวกับผมต้องมนต์สะกดให้ต้องยกกล้องขึ้นมาเก็บความงดงามและความประทับใจนั้นไว้ แม้ว่าตอนนั้นผมจะมีแค่กล้องจากโทรศัพท์มือถือเท่านั้น
แต่ถามว่ารูปภาพดีๆจำเป็นต้องสวยงามที่องค์ประกอบของภาพเสมอไปไหม สำหรับผมก็คงถูกแค่บางส่วน คุณค่าของรูปภาพบางครั้งอยู่ที่ story ที่ทำให้เกิดภาพนั้นขึ้นมา คนในภาพเป็นใคร สถานที่นั้นเกี่ยวข้องกับเราอย่างไร หรือแม้กระทั่งคนที่ถ่ายภาพนั้น ภาพๆหนึ่งอาจจะสำคัญและงดงามสำหรับคนๆหนึ่งเพียงเพราะใครเป็นคนถ่ายก็ได้...
ตอนนี้ผมถ่ายรูปนิวเสร็จเรียบร้อยหมดแล้ว แต่คราวนี้กลายเป็นผมที่ต้องมาเป็นนายแบบบ้าง ทีแรกที่นิวชวนมาผมเข้าใจว่ามาแค่ในฐานะตากล้อง แต่เจ้าเพื่อนสนิทตัวดีดันบังคับให้ผมถ่ายด้วย แล้วคนอย่างผมปฏิเสธอะไรเขาได้ด้วยหรอครับ
เสื้อร้านนิวมีแต่สีสดใสๆ ชมพู ม่วง ฟ้า และน้ำตาลอ่อน ซึ่งไม่เข้ากับผมเอาซะเลย ผมจึงเลือกใส่สีที่ผมคิดว่าน่าจะใส่แล้วรอดที่สุดก็คือสีน้ำตาลอ่อน ส่วนสีชมพูกับฟ้านี่แค่คิดภาพผมยังรับตัวเองไม่ได้เลย โดยเฉพาะสีชมพู ผมน่ะเกลียดสีชมพูที่สุด ผมหมายถึงเมื่อมันอยู่บนตัวผมนะ...
สีชมพูกลับเป็นสีที่เหมาะกับนิวเหลือเกิน รวมถึงสีสดใสต่างๆนาๆ คงเพราะใบหน้าหวานๆและผิวกายขาวๆนั้น ไม่ว่าใส่สีอะไรก็เข้าและดูจะมีชีวิตชีวาไปหมด เสื้อผ้าของนิวจึงเป็นโทนสีนี้เป็นส่วนใหญ่ ตรงข้ามกับผมที่เสื้อผ้าส่วนใหญ่มีแต่ขาวดำ และก็เวียนใส่อยู่ไม่กี่ตัวนั่นแหละ
ตอนนี้กล้องตัวโปรดของผมไปอยู่ในมือของนิวเป็นที่เรียบร้อย เลนส์ราคาแพงกำลังโฟกัสมาที่ใบหน้าผม ฝีมือการถ่ายรูปของนิวพัฒนาขึ้นเยอะมาก ช่วงหลังนิวก็หันมาสนใจถ่ายรูปและขอคำแนะนำจากผมหลายอย่าง ผมน่าจะคิดค่าสอนนะเนี่ย แต่คงไม่เป็นเอาเป็นเงินหรอก...
นิวดูตั้งใจกับการถ่ายมาก ใบหน้าจริงจังตอนเช็ครูปก็น่ามองไม่น้อย ผมสังเกตเห็นว่าเขากำลังขมวดคิ้ว ยื่นปากเล็กน้อยเหมือนกำลังชั่งใจอะไรบางอย่าง
“เต มาช่วยดูรูปหน่อยดิ คิดว่าโอเคยัง”
ผมลุกจากเก้าอี้เดินไปยังตำแหน่งที่นิวยืนอยู่ แทนที่จะรับกล้องที่นิวยื่นมาให้ ผมกล้บเดินอ้อมไปยืนซ้อนด้านหลังเขา มือข้างหนึ่งเอื้อมไปโอบไหล่หนาของนิวไว้ ในขณะที่อีกข้างยื่นไปกุมมือนุ่มของนิวที่จับกล้องอยู่ ก่อนจะดึงเข้ามาใกล้ตัวเราสองคน ผมแสร้งไม่สนใจสีหน้าของนิวที่ดูตกใจ ทำเป็นเช็คภาพในกล้องไป ก่อนจะหันไปยืนยันกับนิวว่ารูปที่ถ่ายนั้นไม่เลวเลย
จังหวะที่ผมเงยหน้าขึ้นมา สายตาของผมสบเข้ากับนิวที่มองผมอยู่ก่อนแล้วพอดี ใบหน้าของเราใกล้กันมาก ผมอดนึกถึงฉากจูบของเราในซีรีย์ไม่ได้ ใจของผมเต้นแรงขึ้นมา ใบหน้าร้อนผ่าวทั้งที่แอร์ในร้านก็เย็นแท้ๆ ถ้าผมขยับเข้าไปอีกนิดละก็... 
ไม่ได้ ผมหยุดความคิดของตัวเองไว้ทันที แล้วหันหลังเดินกลับไปทางเดิมราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ด้วยสถานะของเรา และสถานที่ที่เราอยู่ตอนนี้ ผมทำอย่างนั้นไม่ได้หรอก ผมไม่รู้หรอกว่านิวคิดอะไรอยู่ อีกฝ่ายจะเขินเหมือนกับผมไหม แต่ก็อยากให้รู้ไว้ว่าตัวเองไม่ได้หยอดผมได้ฝ่ายเดียวหรอกนะ
คืนนั้นนิวมาส่งผมที่บ้าน หลังจากที่เราใช้เวลาอยู่ด้วยดันทั้งวัน ผมนั่งอยู่ที่หน้าจอคอม กำลังนั่งคัดรูปที่จะเอาไปใช้ลงในไอจีร้าน look cat me ของนิว ผมไล่ดูไปทีละรูป เผลอหลุดยิ้มออกมาเมื่อเจอรูปที่ผมแอบถ่ายนิวตอนเผลอ ใครมาเห็นผมตอนนี้คงคิดว่าผมเป็นบ้า ขนาดผมนั่งมองรูปตัวเองแท้ๆ ผมยังอดยิ้มออกมาไม่ได้เลยเมื่อนึกถึงคนที่ถ่ายให้
ก็อย่างที่ผมบอกอะแหละ ภาพบางภาพมันอาจจะงดงามและประทับใจเราที่สุดเพียงเพราะใครเป็นคนถ่ายให้ 
ผมเลื่อนไปหยุดที่รูปภาพนิวอีกครั้ง...
ผมว่านะ....
นอกจากผมจะหลงใหลการถ่ายรูปแล้ว ผมก็คงจะหลงใหลคนในรูปที่ผมกำลังมองอยู่ตอนนี้ไม่แพ้กัน...
0 notes
harapear · 6 years
Text
Day3 - Roasted #เตนิว # fictober2018
“ทำไมไม่รับโทรศัพท์แม่ห้ะลูกเต” เสียงดุๆของพี่ก๊อตจิเอ่ยทักทันทีที่เห็นหน้าผม ผมเบิกตาทั้งสองข้างขึ้น พยายามคิดหาคำแก้ตัว แต่พี่ก๊อตจิก็โจมตีผมต่อเนื่องทันทีโดยไม่ทันให้ผมได้โต้ตอบอะไร
“เนี่ย แม่ไลน์ไปก็ไม่รู้จักตอบ ลบไลน์ทิ้งไปแล้วหรือไง” 
“โห แม่ อิเตมันก็ตอบอยู่คนเดียวนั่นแหละ”
“จริงแม่ ของหนูไลน์ไปตั้งแต่เดือนที่แล้วมันยังไม่ตอบเลยแม่”
อะ เอาเข้าไป นอกจากแม่แล้ว พี่ๆในตึก gmm ก็พากันมาช่วยรุม ผมนี่เป็นที่รักของคนในตึกจริงๆ
“ใช่ซี๊ เรามันก็แค่แม่จะไปสู้อะไรกับแฟน”
“แฟนอะไรล่ะแม่” ผมโต้กลับพี่ก๊อตจิแทบจะทันที
“อุ๊ย ลืมไป เพื่อนสนิท! โทษที” 
“ไม่ใช่และ ตอนแม่โทรมาหนูเข้าวัดอยู่ แล้วหนูก็โทรกลับหาแม่แล้ว ไลน์แม่หนูก็ตอบแล้ว”
“เดี๋ยวตบเลยอิเต กูไลน์ไปเมื่อสามวันที่แล้ว แต่มึงเอามาตอบพร้อมกับไลน์ใหม่ที่กูส่งไป ถ้ากูเป็นอะไรก็คงตายไปแล้ว”
“ไม่ๆ ก็หนูปิดโนติไลน์ไว้อะ รำคาณเวลามันเด้ง ถ้าแม่มีอะไรแม่ทักทวิตไม่ก็ไอจีสิ หนูตอบไวแน่ๆ”
ไม่ทันขาดคำ ราวกับพระเจ้ากำลังลงทัณฑ์คนโป้ปด เสียงโนติไลน์ดังขึ้นมาทันทีที่ผมพูดจบประโยค
“เดี๋ยว มันเสียงเตือนไลน์ไม่ใช่หรอ ไหนมึงบอกปิดโนติห้ะอิเต” พี่ก๊อตจิหรี่ตามองผมอย่างจับผิด ซวยและ อินี่ก็ส่งมาถูกจังหวะเหลือเกิน ผมไม่ต้องหยิบมือถือมาดูก็รู้ว่าเป็นใครที่ไลน์มา ก็ไลน์ผมเปิดโนติไว้แค่คนๆเดียวเท่านั้น
“เสียงท้องร้องแม่ หนูหิว” จังหวะนี้คือแถไปก่อนครับ ถึงไม่เนียนแต่เราจะโป๊ะไม่ได้
“อะหรอ เสียงท้องร้องมันเป็นแบบนี้หรอ งั้นแม่น่าจะหิวทั้งวัน เสียงนี้ดังทั้งวัน” 
พี่ก๊อตจิกรอกตามองบนกับคำแถของผม และคงเป็นเพราะผมไม่ได้หยิบโทรศัพท์มาตอบไลน์ทันที คนคนนั้นเลยรัวข้อความมาหาผมไม่หยุด สภาพนี้แถไม่น่ารอดแล้วครับ ผมได้แต่ทำหน้าเจื่อนๆส่งไปให้พี่ก๊อตจิ
“โห สงสัยหิวจัด มารัวเชียว”
พี่ก๊อตจิเอ่ยปากแซวคนที่โป๊ะแตกอย่างผม แล้วคือตอนนี้ไม่ได้มาแค่ไลน์เท่านั้น มือของผมกำลังสั่นไปตามแรงของโทรศัพท์มือถือที่อยู่ในมือ และผมค่อนข้างมั่นใจว่าเป็นใคร แต่จะให้กดรับสายทันทีต่อหน้าพี่ก๊อตจิตอนนี้คงไม่พ้นโดนรุมด่ารุมประณามจนเละแน่ๆเพราะเพิ่งจะโดนสวดเรื่องไม่รับโทรศัพท์ไป แถมอาจจะโดนแซวด้วย 
คิดได้ดังนั้นผมเลยรีบบอกลาพี่ก๊อตจิและพี่ๆคนอื่นในตึกแล้วเดินออกมาทันทีโดยไม่รอให้ใครตั้งคำถามถึงคนที่โทรมา ผมรีบกดรับโทรศัพท์ทันทีที่เดินพ้นออกมาเพราะถ้าช้าไปกว่านี้อีกฝ่ายคงหงุดหงิดแน่ 
สำหรับคนๆนี้แล้ว ผมไม่อยากให้เค้าต้องรอแม้แต่วินาทีเดียว
“ฮัลโหล ว่าไงนิว....”
0 notes
harapear · 6 years
Text
Day1 - Tranquil #เตนิว #Fictober2018
You’re like a poison.
คำนี้อาจจะนิยามคนตรงหน้าผมได้เป็นอย่างดี เธอมันอันตรายเหลือเกิน เป็นเหมือนแอปเปิ้ลเคลือบยาพิษ และผมคงเป็นสโนไวท์ซื่อๆที่กำลังพาตัวเองไปลิ้มลองมัน
“เต คิดอะไรอยู่ว่ะ”
เสียงเรียกของคนตรงหน้าปลุกผมจากภวังค์ ผมจ้องมองใบหน้าหวานของนิวเพื่อนสนิทของผมก่อนจะส่ายหัวเบาๆส่งไปให้
“ไม่มีอะไร”
“ไม่มีอะไรได้ไง เห็นเขี่ยข้าวไปมา ไม่อร่อยหรอ”
“ไม่ค่อยหิวว่ะ”
“มา ฉันกินเอง”
“อ้วนเอ้ย” อีกฝ่ายไม่ได้สนใจคำด่าของผม แต่กลับคว้าจานไปทันทีโดยไม่รอคำอนุญาต ผมมองใบหน้าของเพื่อนสนิทที่ดูมีความสุขกับอาหารที่แย่งผมไปแล้วอดยิ้มออกมาเบาๆไม่ได้ ถึงผมจะชอบว่ามันอ้วน แต่เวลามันมีเนื้อมีหนังก็กอดนุ่มดี...
ผมนั่งมองคนตรงหน้ากินอย่างละสายตาไม่ได้ แก้มอูมๆที่ขยับไปตามจังหวะเคี้ยวช่างหน้าบีบซะจริงๆ แต่ผมก็ต้องห้ามใจเอาไว้
ขณะที่ผมมองเขาอย่างเพลินๆ จู่ๆนิวก็เงยหน้าขึ้นมาหาผม ผมหุบยิ้มลงแทบจะทันที หวังว่าอีกฝ่ายจะไม่เห็น ผมไม่มีทางให้นิวเห็นรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความเอ็นดูนี้หรอก ผมจะซ่อนมันไว้ พร้อมก้บความลับในใจของผม...
ใช่...
ผมแอบหลงรักนิว.....
ผมไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นเมื่อไหร่ เกิดขึ้นได้ยังไง รู้ตัวอีกทีก็ละสายตาจากเพื่อนคนนี้ไม่ได้แล้ว
ผมนั่งเช็คไอจีอย่างที่ทำเป็นประจำ ระหว่างรอให้นิวจัดการกับของหวานที่สั่งมาเพิ่ม มีโนติแจ้งเตือนว่าคนตรงข้ามผมมาคอมเมนต์อะไรบางอย่าง ผมเดาว่าคงเป็นรูปที่ผมเพิ่งลงไปเมื่อตอนก่อนกินข้าวละมั้ง ผมกดเข้าไปดูทันทีโดยไม่คิดอะไร แต่แล้วหัวใจของผมก็เต้นรัวอย่างควบคุมไม่ได้หลังจากได้อ่านข้อความที่อีกฝ่ายคอมเมนต์ ผมต้องใช้ความพยายามในการเก็บอาการเอาไว้ ก่อนจะเอ่ยถามอีกฝ่ายออกไป
“นิว นี่อะไร มาเม้นตอนไหน”
“หื้ม”
“ไม่ต้องมาทำหน้างง ไอจีอะ ก็รูปที่ฉันเพิ่งลงล่าสุดไง ที่เธอเม้นอะ”
“อ๋อออออ ก็ตามนั้น"
“ตามนั้นบ้าไร”
“ผวนไม่เป็นหรอไง เบลอว่ารักแถบอะ หรือต้องให้ผวนให้ฟัง”
“ไม่ต้อง! รู้เว้ย ทำไมชอบมาเม้นอะไรแบบนี้ว่ะ คนอื่นเข้าใจผิดหมด”
“เอ้า เข้าใจผิดอะไร ก็เข้าใจถูกแล้ว หมายความตามนั้น”
“นี่ ไม่ต้องมาเล่นเลย!”
นิวหัวเราะออกมาเบาๆ ไม่ปฏิเสธ และไม่ตอบรับใดๆ ก่อนจะกลับไปจัดการของหวานตรงหน้าต่อ
ผมหงุดหงิดแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ นิวมักจะเป็นแบบนี้ ชอบทำอะไรให้ผมคิดไปเอง หยอดนู่นหยอดนี่ หรือแม้แต่หลายๆการกระทำที่ผมก็ไม่เข้าใจ ขนาดคนรอบข้างเรายังสงสัย หลายสิ่งที่นิวทำให้ผม ใคร���ก็พูดกันว่ามันเกินกว่าเพื่อนสนิท
ทำไมต้องไปรับไปส่งผมทุกครั้งแม้ว่าจะดึกขนาดไหน
ทำไมต้องมาหาผมตลอดแม้ในยามที่เขาไม่ว่าง
ทำไมต้องโทรหากันทุกวัน
แม้แต่ในวันสำคัญอย่างวาเลนไทน์ เขากลับเลือกที่จะไปกับผมสองคน
ซึ่งจริงๆผมก็อยากได้คำตอบเหมือนกัน แต่ก็นั่นแหละ จะหวังคำตอบอะไรจากนิว พอผมหรือใครๆทำท่าจะถามก็เลี่ยงตอบทุกที หรือไม่ก็ทำเป็นเล่นไป
‘มาหาเพราะคิดถึงไง’
เขาเคยตอบคำถามนั้นกลับมาแบบนี้ ไม่ได้รู้เลยว่าคำตอบเล่นๆนั้นทำผมปั่นป่วนใจแค่ไหน
คำพูดหวานๆของเขาเป็นเหมือนยาพิษ ผมรู้สึกเหมือนโดนเขาวางยาใส่วันละเล็กวันละน้อย ทุกการกระทำทุกคำพูด มีแต่ผมฝ่ายเดียวที่ค่อยๆถล้ำลึก และวันหนึ่งผมอาจจะต้องทุรนทุรายเพราะพิษรักที่กัดกร่อนหัวใจผมก็เป็นได้
ความรักระหว่างเพื่อนสนิทความจริงมันก็เป็นไปได้ แต่ระหว่างผมกับนิว ความเป็นไปได้มันแทบจะเป็นศูนย์ เพราะผมรู้อยู่เต็มอกว่านิวไม่เคยชอบผู้ชาย ไม่มีแนวโน้มเลยสักนิด เพราะคนที่เขาเคยคบมาก็เป็นผู้หญิง
ทั้งที่ผมรู้อยู่เต็มอก แต่ผมก็ยังหลงใหลไปกับสิ่งที่เขาทำ และไม่คิดจะพาตัวเองออกมา แม้ว่านิวอาจจะไม่คิดอะไรเลยด้วยซ้ำ
สำหรับผม... ถ้านิวคือยาพิษละก็...
ผมก็พร้อมที่จะดื่มมัน.....
0 notes
harapear · 6 years
Text
Day2 - Tranquil #เตนิว #fictober2018
รถฮอนด้าสีขาวถูกเร่งความเร็วไปบนถนน กลางดึกเช่นนี้ท้องถนนแทบจะปลอดจากรถรา จึงเปิดโอกาสให้เจ้าเครื่องยนต์สีขาวคันนี้ได้ครอบครองท้องถนนราวกับเป็นเจ้าของอย่างเต็มที่
ผมปล่อยอารมณ์ความรู้สึกผ่านการเหยียบคันเร่ง ความเร็วช่วยทำให้ผ่อนคลายความเครียดได้ดีทีเดียว แต่ก็แค่ชั่วคราวเท่านั้น แน่นอนว่าความเครียดมันไม่ได้หายไปไหนตราบใดที่เรื่องที่กังวลใจยังไม่ได้คลี่คลายไป
ผมล้มตัวลงนอนทันทีที่ถึงห้อง เสื้อยืดสีม่วงแบรนด์ของผมเองถูกโยนไปกองอยู่ข้างเตียง รู้สึกขี้เกียจเกินกว่าจะเดินไปใส่ตะกร้าให้เรียบร้อย ตั้งใจว่าอีกเดี๋ยวจะไปอาบน้ำแต่ขออู้แปบนึง ผมเพิ่งเสร็จจากไปถ่ายซีรีย์ที่แถบชานเมือง วันนี้เป็นวันที่เหนื่อยสุดๆ ต้องออกจากบ้านตั้งแต่ตี 5 และกลับมาถึงตอนเที่ยงคืนกว่า แต่ก็ยังดีที่พรุ่งนี้เป็นวันหยุดของผม
อันที่จริงการถ่ายทำควรจะเสร็จสิ้นตั้งนานแล้ว แต่เป็นเพราะผมเองที่ทำให้กองต้องเลิกช้า ผมเล่นตามอารมณ์ที่ผู้กำกับต้องการไม่ได้ กว่าจะทำมันได้ก็ดึกมาก แม้เพื่อนนักแสดงด้วยกันจะไม่มีใครโทษผมและคอยให้กำลังใจ แต่ผมก็รู้สึกผิดมากๆที่ทำให้คนอื่นต้องเดือดร้อน จนบางครั้งเกิดความรู้สึกที่ว่าหรือผมจะไม่เหมาะกับเส้นทางนี้...
ผมหยิบโทรศัพท์ในกระเป๋าขึ้นมา ช่วงเวลาที่หัวใจของผมดำดิ่งเช่นนี้ผมต้องการใครสักคน และภาพของใครคนนั้นก็ปรากฏชัดเจนในหัวผม แม้จะเป็นเวลาเที่ยงคืน แต่ผมมั่นใจว่าอีกฝ่ายยังไม่นอนแน่ๆ นิ้วเรียวกดเข้าไปที่แอพพลิเคชั่นสื่อสารสีเขียวยอดนิยม และกดเข้าไปหน้าต่างแชทของคนที่คุ้นเคย รอเพียงไม่นานอีกฝ่ายก็ตอบรับสายของผม
“มีอะไรว่ะ แม่งโทรมาตอนเล่นเกมอีกและ” เสียงเกรี้ยวกราดจากปลายสายเรียกรอยยิ้มที่มุมปากของผม ถึงจะดูหงุดหงิดขนาดไหน แต่เขาก็ยอมทิ้งเกมมารับโทรศัพท์ผมเสมอแหละ
“เต” น้ำเสียงอ่อนล้าของผมเอ่ยเรียกชื่อของคนปลายสาย ยอมรับนิดนึงว่าตั้งใจอ้อน แต่ก็เหนื่อยจริงๆนั่นแหละ
“เป็นอะไร” ฟังจากโทนเสียงที่อ่อนลงและคำถามที่เจือด้วยความเป็นห่วงคาดว่าเตน่าจะรับรู้แล้วว่าผมไม่ค่อยโอเค
“เปิดกล้องได้มั๊ย”
“เออๆ” สิ้นคำตอบรับใบหน้าของเพื่อนสนิทคนสำคัญของผมก็ปรากฏขึ้นบนจอโทรศัพท์ มันช่างน่าประหลาด เพียงแค่เห็นหน้าอีกคนกลับทำให้ผมรู้สึกดีขึ้น
“เอาอีกและ อิหิน จะถอดเสื้อทำไมว่ะ”
“ฮ่าๆ ก็กำลังจะไปอาบน้ำอะ เลยถอดไว้ก่อน”
“แล้วไมไม่ไปอาบก่อน”
“อยากเห็นหน้าเธอ” ผมเห็นอีกฝ่ายชะงักทำตาโต เตนี่ไม่เคยจะชินกับการหยอดของผมเลยหรือไง จะรู้ตัวบ้างหรือเปล่าเพราะท่าทีแบบนี้คนอื่นเลยชอบแกล้งน่ะ
“หุบปากไปเลยมึง”
“อ้าว หยาบคายใส่ฉันทำไม นิสัยไม่ดีเลยนะ เพื่อนอุส่าคิดถึง”
“พอๆ รำคาณ แล้วสรุปมีไร โทรมาไม” ผมยิ้มออกมาบางๆเมื่อเห็นสีหน้าหงุดหงิดที่เตปั้นขึ้นที่ดูก็รู้ว่าไม่ได้โกรธจริงจัง ก่อนที่ผมจะถอนหายใจอ���กมาเบาๆเมื่อนึกถึงเรื่องที่เกิดวันนี้ แล้วเริ่มต้นเล่าให้อีกฝ่ายฟัง อีกฝ่ายรับฟังอย่างตั้งใจและโต้ตอบกับมาเป็นบางครั้ง
“เราย้อนกลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้ แต่เราทำพรุ่งนี้ให้ดีขึ้นได้ อย่ามัวแต่จมอยู่กับความผิดพลาด ให้เรียนรู้จากมันและใช้เป็นแรงขับเคลื่อน เข้าใจมั๊ย” ผมพยักหน้ารับกับคำพูดเตือนสติของเต
ไม่ว่าจะมีเรื่องอะไรผมมักจะโทรหาเตเสมอ เวลามีเรื่องดีๆก็อยากจะโทรไปเล่าให้เขาฟัง เวลาเจอเรื่องแย่ๆก็มีเตที่คอยรับฟัง เขาเป็นผู้ฟังที่ดีและมักจะมีคำสอนดีๆให้ผมเสมอ
“พยักหน้าแล้วก็ทำตามด้วย ไป ไปอาบน้ำได้แล้วไป”
“เออเต พรุ่งนี้ฉันหยุด อยากเจอว่ะ คิดถึง”
“ห๊ะ อะไรนะ” ผมเกือบจะขำกับสีหน้าตกใจของเต เล่นใหญ่ตลอด
“จะตกใจอะไรเว่อร์ขนาดนั้น”
“อารมณ์ไหนว่ะ อยู่ๆมาบอกคิดถึง”
“ก็ฉันเหงาอะ เดี๋ยวไปรับที่บ้าน”
“เออๆ ก็ได้ เอาแต่ใจจริงๆ”
“ตามนั้น”
“โอเค ถ้างั้นวางและ บาย”
“เดี๋ยวก่อน”
“อะไรอีก”
“ขอบคุณนะเต”
“...”
“ขอบคุณที่คอยรับฟังฉันเสมอ”
.
.
.
เตอาจจะเข้าใจว่าความเครียดของผมมาจากเรื่องงานเพียงอย่างเดียว ซึ่งมันก็ถูกเพียงส่วนหนึ่ง แต่หลังจากได้คุยกับเขาความกังวลเรื่องงานของผมก็คลายไปเยอะแล้ว ความจริงแล้วสิ่งที่ผมกังวล ซึ่งมันกวนใจผมมาระยะหนึ่งแล้ว คือเรื่องของเตตั้งหาก...
เตอาจจะคิดว่าที่ผมหยอดๆไปแค่จะแกล้งเขาเล่นๆ แต่เปล่าเลย ผมรู้สึกแบบนั้นจริงๆ และมันไม่ใช่ความรู้สึกที่มีต่อเพื่อนด้วย
มันเริ่มจากผมค่อนข้างติดเตเอามากๆและชอบอยู่กับเขามาแต่ไหนแต่ไร แต่ผมไม่คิดว่ามันผิดปกติอะไร ก็คงเป็นอาการของคนติดเพื่อน และผมก็มีเพื่อนน้อยมาก จะให้ไปอยู่กับใครล่ะ
จนกระทั่งผมกับเตได้เล่นซีรีย์ในบทชายรักชายคู่กัน ผมรู้สึกแปลกๆหลังจากจูบแรกระหว่างเราเกิดขึ้นในเรื่อง ผมไม่ควรจะใจสั่น หรือผมอินกับบทบาทมากไป ผมพยายามมองข้ามความรู้สึกนี้ไป พยายามไม่ใส่ใจเพราะคิดว่าเดี๋ยวมันคงหายไป แต่มันแย่ตรงที่ผมกลับยิ่งรู้สึกมากขึ้นเรื่อยๆ จนต้องยอมรับกับตัวเองว่าผมหลงรักเพื่อนสนิทของตัวเองแล้วจริงๆ
บางทีผมรู้สึกว่าเตก็ชอบผมเหมือนกัน จากอะไรหลายๆอย่าง
เขามักจะอยู่เคียงข้างผมเสมอในยามที่ผมต้องการเขา
เขาชอบทำเหมือนไม่พอใจแต่ก็ตามใจผมทุกอย่าง
เขามักจะชอบทำหน้าไม่ถูกเวลาที่โดนผมแกล้งหยอด หรือไม่ก็มีรีแอคชั่นใหญ่โตโวยวายตามประสาเขาเวลาที่ถูกคนรอบข้างแซวในความสัมพันธ์ของเรา
แต่บางครั้งเขาก็มาปลุกผมให้ตื่นจากฝันหวานด้วยสีหน้าท่าทางนิ่งๆเหมือนกับว่าไม่ได้มีความรู้สึกอะไรต่อกัน
ผมก็ไม่แน่ใจว่าเขารู้สึกยังไงกับผมกันแน่ และผมก็ไม่กล้าถามออกไป เพราะจริงๆที่เป็นอยู่ตอนนี้มันก็ดีอยู่แล้ว แต่ผมแน่ใจในความรู้สึกของตัวเอง และมันแสดงออกผ่านการกระทำของผมว่าผมแคร์เขามากแค่ไหน ได้แต่หวังว่าเขาจะรับรู้เองสักวัน
ผมยังไม่กล้าจะก้าวข้ามเส้นเขตของคำว่าเพื่อนในตอนนี้ หรือจริงๆผมอาจจะข้ามไปแล้ว เพียงแต่ผมไม่กล้าทำให้สถานะของเรามันชัดเจน
ผมไม่ได้แคร์สายตาคนนอกที่ผมไม่รู้จักแต่ผมแคร์ความรู้สึกของคนใกล้ชิด ครอบครัวผม และครอบครัวของเต และเรายังมีหน้าที่การงานอะไรหลายๆอย่างที่เราต้องรับผิดชอบ มันไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับความสัมพันธ์แบบนี้ ใช่ว่าถ้าเราเกิดรู้สึกตรงกันจริงๆแล้วอยากจะคบกันก็คบได้
หนทางข้างหน้าระหว่างผมกับเตจะเป็นยังไงผมก็ไม่รู้ แต่ที่ผมรู้ตอนนี้...
ผมมีความสุขที่มีเตอยู่ข้างๆในทุกๆวัน เขาคือความสบายใจของผม....
0 notes