Tumgik
Text
Leave Out All the Rest
youtube
[ Leave Out All the Rest - ขอให้ลืมเรื่องทุกอย่างไปก่อน ]
ความหมายในภาพรวม: รู้สึกเศร้าหมองในใจ เหนื่อยกับชีวิต อยากบอกลาแต่ไม่อยากถูกลืม
I dreamed I was missing, you were so scared But no one would listen 'cause no one else cared After my dreaming, I woke with this fear What am I leaving when I'm done here? ฉันฝันว่าฉันหายตัวไป และเธอตกใจกลัวมาก ทว่า ไม่มีใครใส่ใจจะรับฟัง เพราะไม่มีใครสนใจเลยแม้แต่น้อย หลังจากนั้น ฉันตื่นขึ้นมาพร้อมความรู้สึกหวาดหวั่น ว่าเบื้องหลังฉันจะเป็นยังไงบ้าง ในวันที่ฉันไม่อยู่ตรงนี้แล้ว
So, if you're asking me, I want you to know ดังนั้น หากเธอถามเรื่องนี้ขึ้นมา อยากขอให้เธอรู้เอาไว้
When my time comes, forget the wrong that I've done Help me leave behind some reasons to be missed And don't resent me, and when you're feeling empty Keep me in your memory, leave out all the rest Leave out all the rest เมื่อถึงเวลาที่ฉันต้องลา ขอจงอย่าจำสิ่งแย่ๆ ที่ฉันได้ทำลงไป อย่างน้อย ขอให้มีเรื่องดีๆ เอาไว้คิดถึงกันบ้าง อย่าโกรธกันเลยนะ และเมือไรก็ตามที่เธอรู้สึกว่างเปล่าในใจ โปรดนึกถึงฉันเอาไว้ แล้วลืมเรื่องอื่นๆ ไปก่อน เรื่องอื่นอย่าเพิ่งไปสนใจมัน
Don't be afraid I've taken my beating, I've shared what I made I'm strong on the surface, not all the way through I've never been perfect, but neither have you อย่ากลัวไปเลย ฉันถูกทำร้ายมานาน และเธอได้เห็นแล้วว่าฉันกลายเป็นคนยังไง ฉันเข้มแข็งแต่เพียงภายนอกเท่านั้นแหละ ฉันไม่ใช่คนที่สมบูรณ์แบบ เธอเองก็เช่นกัน
So, if you're asking me, I want you to know ดังนั้น หากเธอถามเรื่องนี้ขึ้นมา อยากขอให้เธอรู้เอาไว้
When my time comes, forget the wrong that I've done Help me leave behind some reasons to be missed And don't resent me, and when you're feeling empty Keep me in your memory, leave out all the rest Leave out all the rest เมื่อถึงเวลาที่ฉันต้องลา ขอจงอย่าจำสิ่งแย่ๆ ที่ฉันได้ทำลงไป อย่างน้อย ขอให้มีเรื่องดีๆ เอาไว้คิดถึงกันบ้าง อย่าโกรธกันเลยนะ และเมือไรก็ตามที่เธอรู้สึกว่างเปล่าในใจ โปรดนึกถึงฉันเอาไว้ แล้วลืมเรื่องอื่นๆ ไปก่อน เรื่องอื่นอย่าเพิ่งไปสนใจมัน
Forgetting all the hurt inside you've learned to hide so well Pretending someone elsey can come and save me from myself I can't be who you are พยายามจะลืม ทุกความเจ็บปวดที่คนเราต่างเก็บซ่อนเอาไว้อย่างดี และแสร้งทำเป็นว่ามีใครบางคนเข้ามาช่วย ให้ฉันไม่ทำร้ายตัวเองได้แล้ว แต่คนเรามันไม่เหมือนกัน
When my time comes, forget the wrong that I've done Help me leave behind some reasons to be missed Don't resent me, and when you're feeling empty Keep me in your memory, leave out all the rest Leave out all the rest เมื่อถึงเวลาที่ฉันต้องลา ขอจงอย่าจำสิ่งแย่ๆ ที่ฉันได้ทำลงไป อย่างน้อย ขอให้มีเรื่องดีๆ เอาไว้คิดถึงกันบ้าง อย่าโกรธกันเลยนะ และเมือไรก็ตามที่เธอรู้สึกไม่เหลืออะไร โปรดนึกถึงฉันเอาไว้ แล้วลืมเรื่องอื่นๆ ไปก่อน เรื่องอื่นอย่าเพิ่งไปสนใจมัน
Forgetting all the hurt inside you've learned to hide so well Pretending someone else can come and save me from myself I can't be who you are I can't be who you are พยายามจะลืม ทุกความเจ็บปวดที่คนเราต่างเก็บซ่อนเอาไว้อย่างดี และแสร้งทำเป็นว่ามีใครบางคนเข้ามาช่วย ให้ฉันไม่ทำร้ายตัวเองได้แล้ว แต่คนเรามันไม่เหมือนกัน ฉันทำอย่างเธอไม่ได้
---
แปลไทยโดย: airidescent@tumblr // last edit: august 30, 2021
***************
★ take a beating = being damaged/abused, suffer รู้สึกทุกข์ ทรมาน แต่ถ้า take a beat (ไม่มี -ing ต่อท้าย) ความหมายเท่ากับ take a break คือพักก่อน
★ share ปรกติแปลว่า แบ่งปัน เผื่อแผ่ ในเพลงนี้เจ้าตัวอาจหมายถึงการเล่าเรื่องต่างๆ ให้อีกฝ่ายฟัง หรือแสดงออกให้เห็นว่าชีวิตเขาเปลี่ยนไปยังไงบ้าง
★ make ในเพลง มีความหมายว่า become คือการเปลี่ยนจากสิ่งหนึ่งไปเป็นอีกอย่าง ไม่ใช่ความหมายว่าได้ทำอะไรลงไป
ตัวอย่างประโยคที่ make = become
-- He loves singing and he's really good at it. He'll make a good singer, I believe. เขาชอบร้องเพลงแล้วก็ร้องได้ดีมากทีเดียว ฉันว่าสักวันเขาต้องได้เป็นนักร้องเสียงทองแน่ๆ
★ การ save ใครบางคนจากตัวเอง หมายถึง การหยุดหรือห้ามไม่ให้เขาทำร้ายตัวเอง
★ I've never been perfect, but neither have you - have ในประโยคนี้ ไม่ได้แปลว่า "มี" have ตรงนี้เป็นกริยาช่วย ถ้าขยายประโยคให้เต็ม คือ
I have never been perfect, but neither have you. (= you have never been perfect, too.)
ตัวอย่างอื่น���ี่อาจพบได้ เช่น I love you. Always have. (ฉันรักเธอ รักมาตลอด)
★ I can't be who you are. คือ การบอกว่าคนเราไม่เหมือนกัน เช่น A อาจทำอะไรที่ B ทำไม่ได้ การบังคับให้ B พยายามเป็นเหมือน A จึงเป็นสิ่งที่ทำให้ B รู้สึกอึดอัดได้ เป็นต้น
-- คำว่า "you" ในบางจุดในเพลง ไม่ได้มีความหมายถึงคำเรียกขานบุคคลที่สอง (คุณ, เธอ, ท่าน, แก) แต่หมายความถึงคนทั่วๆ ไป
0 notes
Text
Can't Hear You Now
youtube
[ Can't Hear You Now - ฉันไม่ได้ยินแล้ว ]
ความหมายในภาพรวม: เพลงนี้สำหรับตอบโต้ชาวดราม่าสายระรานโดยเฉพาะ อยากด่าอยากว่าอะไรเชิญเลย แต่ฉันไม่ฟังแล้วจ้า
You can call till your voice is running out But I can’t hear you now I can’t hear you now I’m somewhere far away where you can’t bring me down So I can’t hear you now I can’t hear you now แกจะตะโกนจนสุดเสียงเลยก็ได้ แต่ฉันไม่ได้ยินแกแล้ว ไม่ได้ยินอีกแล้ว ฉันมาไกลจากจุดนั้นแล้ว อยู่ในจุดที่แกทำร้ายจิตใจฉันไม่ได้อีกต่อไป แกจะพูดอะไร ฉันก็ไม่ได้ยินแล้ว ไม่ได้ยินอีกแล้ว
Run run it back / tell ‘em what I’m coming at I was on that bullshit then / now I’m done with that Scared of what I didn’t want / scared of what I wanted and Thought that I was finished but I hardly had begun in fact ไหน มาพูดอีกรอบ ฝากบอกพวกนั้นด้วยว่าฉันคิดได้แล้วว่าจะเอายังไง ฉันเคยต้องพัวพันกับเรื่องบ้าๆ นั่น แต่ตอนนี้ฉันพอแล้ว เคยกลัวในสิ่งที่ไม่อยากให้เกิด และหวั่นๆ ในสิ่งที่ตัวเองต้องการเหมือนกัน คิดว่าฉันต้องจบเห่แล้วแน่ๆ แต่อันที่จริงยังไม่ได้เริ่มเลยด้วยซ้ำ
I’m a beast I’m a monster a savage And any other metaphor the culture can imagine And I got a caption for anybody asking That is / I am feeling fucking fantastic ฉันมันไอ้ตัวร้าย ใจโฉด โหดฉกรรจ์ และเป็นอะไรอีกหลายอย่าง เท่าที่สังคมจะสรรหาคำมาเปรียบได้ แต่ถ้าถามฉันล่ะก็ มีบางคำจะให้ คือฉันไม่ยี่หระกับคำพวกนั้นสักนิด
Some days it doesn't take much to bring me down Some days I'm struggling for control Some days it doesn't take much to bring me down Right now I'm floating above it all บางวันฉันก็เปราะบางเหลือเกิน บางวันฉันก็ต้องพยายามอย่างหนักที่จะไม่เสียศูนย์ บางวันฉันก็อ่อนไหวง่ายมาก แต่ตอนนี้ อะไรก็ไม่กระเทือนฉันอีกแล้ว
So you can call 'till your voice is running out But I can't hear you now I can't hear you now I'm somewhere far away where you can't bring me down So I can't hear you now I can't hear you now แกจะตะโกนจนสุดเสียงเลยก็ได้ แต่ฉันไม่ได้ยินแกแล้ว ไม่ได้ยินอีกแล้ว ฉันออกมาไกลแล้ว อยู่ในจุดที่แกทำร้ายจิตใจฉันไม่ได้อีกต่อไป แกพูดอะไร ฉันก็ไม่ได้ยินแล้ว ไม่ได้ยินอีกแล้ว
Come come again / feel it when it’s flooding in Woke up knowing I don’t have to be numb again Starting line scratched out, I don’t have to run again Give a fuck's maxxed out / tell ‘em I’m not coming in วนมาอีกครั้ง มารับรู้อะไรที่มันท่วมท้นพวกนี้ ไม่ต้องตื่นขึ้นมาอย่างไร้ความรู้สึกอีกต่อไป จุดเริ่มอะไรไม่ต้องมีหรอก เพราะฉันไม่ต้องหนีอีกแล้ว กุใส่ใจมามากพอแล้ว หลังจากนี้จะไม่มาวุ่นวายอะไรด้วยอีก
I’m not present on the payroll And you can tell me I should do it cause you say so But I’m not dancing to the rhythm you replay, no Cause I’m already half a million miles away though / they know ฉันไม่ได้ทำงานกินเงินเดือน ถึงแม้พวกแกจะบอกให้ฉันทำเพราะอยากให้ทำ แต่ฉันไม่เสียเวลาดิ้นตามคำพล่ามเดิมๆ ของพวกแกหรอก เพราะตอนนี้ฉันพาตัวเองมาไกลจากจุดนั้นหลายปีแสงแล้วอะ พวกนั้นก็รู้ดี
Some days it doesn't take much to bring me down Some days I'm struggling for control Some days it doesn't take much to bring me down Right now I'm floating above it all บางวันฉันก็เปราะบางเหลือเกิน บางวันฉันก็ต้องพยายามอย่างหนักที่จะไม่เสียศูนย์ บางวันฉันก็อ่อนไหวง่ายมาก แต่ตอนนี้ ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ไม่กระเทือนฉันอีกแล้ว
So you can call 'till your voice is running out But I can't hear you now I can't hear you now I'm somewhere far away where you can't bring me down So I can't hear you now I can't hear you now แกจะตะโกนจนสุดเสียงเลยก็ได้ แต่ฉันไม่ได้ยินแกแล้ว ไม่ได้ยินอีกแล้ว ฉันมาไกลจากจุดนั้นแล้ว อยู่ในจุดที่แกทำร้ายจิตใจฉันไม่ได้อีกต่อไป แกพูดอะไร ฉันก็ไม่ได้ยินแล้ว ไม่ได้ยินอีกแล้ว
And I waited too long / I listened too much You said what can’t be unheard I’m drawing a line / enough is enough I let you have your last word ฉันอดทนมานานเกินไป และฟังอะไรมามากเกินควร คำพูดบางอย่าง พอได้ยินมันก็ลืมไม่ลง แต่หลังจากนี้ไป พอคือพอ ฉันฟังแกพูดมามากพอแล้ว
So you can call till your voice is running out But I can't hear you now I can't hear you now I'm somewhere far away where you can't bring me down So I can't hear you now I can't hear you now จะตะโกนเรียกจนเสียงหายไปเลยก็ตามใจ แต่ฉันไม่ได้ยินแกแล้ว ไม่ได้ยินอีกแล้ว ฉันมาไกลจากจุดนั้นแล้ว อยู่ในจุดที่แกทำร้ายจิตใจฉันไม่ได้อีกต่อไป แกพูดอะไร ฉันก็ไม่ได้ยินแล้ว ไม่ได้ยินอีกแล้ว
So you can call till your voice is running out But I can't hear you now I can't hear you now I'm somewhere far away where you can't bring me down So I can't hear you now I can't hear you now แกจะตะโกนจนสุดเสียงเลยก็ได้ แต่ฉันไม่ได้ยินแกแล้ว ไม่ได้ยินอีกแล้ว ฉันมาไกลจากจุดนั้นแล้ว อยู่ในจุดที่แกทำร้ายจิตใจฉันไม่ได้อีกต่อไป แกพูดอะไร ฉันก็ไม่ได้ยินแล้ว ไม่ได้ยินอีกแล้ว
---------
แปลไทยโดย: airidescent@tumblr // last edit: august 2021
==================
เพลงนี้เหมือนเอาไว้ตอบโต้คนที่มาระรานไมค์หลังเชสเตอร์จากไป เอะอะอะไรก็ไมค์ไม่ดี ไมค์แย่ เห็นแก่เงิน ทำใจทำงานทำเพลงต่อไปได้ยังไง เพื่อนเสียทั้งคน ฯลฯ คนเรานี่ก็นะ ... ไมค์ก็ยังต้องกินต้องใช้มั้ย เค้าก็มีครอบครัวต้��งเลี้ยงดู เค้าผิดอะไรถ้ายังทำงานที่ตัวเองรักและถนัดอยู่ต่อไป ทำไมต้องให้เค้าอยุ่เฉยๆ รอกินค่าเพลงเก่าๆ ทั้งๆ ที่เค้าผลิตของใหม่ออกมาได้ 😑 ... ���ัดภาพมาดูคำที่น่าสนใจกันดีกว่า
★ run something back = ส่งอะไรบางอย่างกลับคืนไปหาคนหรือสถานที่นั้นๆ แต่ run it back ในภาษาพูด หรือสแลง (slang) แปลว่า "(แน่จริงก็)พูดอีกรอบดิ"
★ come at = ปกติแปลว่าการเข้าไปหาเรื่อง แต่ในอีกบริบท แปลว่าจะเข้าไปเผชิญสถานการณ์อะไรบางอย่างก็ได้ --- come at me bro คือ (แน่จริงก็)มาหากรูนี่มา
★ hard ปรกติแปลว่า แข็ง ยาก หนักหนา แต่ hardly = barely = แทบจะไม่ --- It's raining so hard that i can hardly see things outside the window. ฝนตกหนักมากจนฉันมองอะไรข้างนอกนั่นแทบไม่เห็น --- I can barely walk barefoot on the beach in the hot afternoon. ฉันเดินเท้าเปล่าบนพื้นหาดทรายยามบ่ายร้อนๆ ไม่ไหว (bare แบร์ = เปลือย)
★ metaphor (เมตาฟอร์) เป็นการใช้คำเปรียบเปรยให้เห็นภาพ เช่น he's a monster. ไอ้หมอนี่มันร้ายกาจ (monster ปกติคือ อสูร สัตว์ประหลาด เป็นภาพแทนของความโหด)
★ bring someone down ฉุดใครสักคนให้ลงต่ำ ก็คือ ทำให้คนนั้นรู้สึกแย่
★ take ความหมาย คือ เอาไป ฉวยไป หยิบไป แต่ประโยคนี้ it doesn't take much to bring me down แปลว่า "ใช้"
แปลตรงตัวคือ ไม่ต้องใช้อะไรเยอะแยะที่จะทำให้ฉันรู้สึกแย่ = แปลไทยเป็นไทย คือ อะไรนิดหน่อยก็รู้สึกแย่ได้ = สภาพจิตใจไม่แข็งแรง --- take ในบริบทนี้ ความหมายเดียวกับ it takes time มันต้องใช้เวลา --- whatever it takes แปลว่าให้ทุ่มสุดตัว เทหมดหน้าตัก มันต้อง "ใช้" อะไรบ้าง แลกเข้าไปให้หมด เอาให้ถึงที่สุด --- how long does it take to travel to mars? จะเดินทางไปดาวอังคาร ต้องใช้เวลาเท่าไหร่ (ตอบเล่นๆ : 30วิ.) --- what took you so long? มัวทำอะไรอยู่/ทำไมช้าจัง?
★ struggle แปลว่ากระเสือกกระสน ดิ้นรน พยายามอย่างหนัก struggle for control คือพยายามอย่างมากที่จะได้มาซึ่งการควบคุม แปลไทยเป็นไทย(ในเนื้อเพลง) = พยายามควบคุมสติ(ตัวเอง)
★ float above it all = ลอยตัวเหนือทุกสิ่ง ในเพลงก็คือ ข้ามทุกกระแสดราม่าต่างๆ ไปเลยจ้าาา
★ draw a line = ขีดเส้น ในที่นี้คือขีดเพื่อให้รู้ว่าอย่าล้ำเส้น
★ give a shit/a damn/a f*ck (about) แปลว่า to care (about)
★ max out = ถึงขีดจำกัด, ถึงจุดสูงสุด --- ในเพลง ไมค์บอกว่า giving a f*ck is maxxed out = การให้ความสนใจมาถึงขีดสุดแล้ว คือเค้าทนใส่ใจกับคำพูดคนที่คอยโจมตีต่อไปไม่ไหวแล้วนั่นเอง
★ payroll ให้เข้าใจง่ายๆ คือ รายการคำนวณการจ่ายเงินเดือน not present on a payroll คือ ไม่ได้อยู่ในรายชื่อที่จะได้รับเงินเดือน (ใครทำงานสาย HR น่าจะเข้าใจสิ่งนี้ 🤣)
★ be present at/on = ปรากฏอยู่ตรงนั้น/มีตัวตนอยู่ตรงนั้น --- he wasn't present at the meeting yesterday. เขาไม่ได้เข้าร่วมประชุมเมื่อวาน --- her name isn't present on the list. ชื่อของเธอไม่อยู่ในรายการ
★ I let you have your last words ประโยคนี้เป็น past tense (ต่อเนื่องจากการที่บอกว่าอดทนฟังมานาน)​ แปลว่า ฉันให้โอกาสเธอได้พูดเป็นครั้งสุดท้ายไปแล้ว (ก่อนจะขีดเส้นแบ่ง ว่าหลังจากนี้จะไม่สนใจฟังอีกต่อไป)​ --- ถ้าจะบอกว่า ฉัน "จะ" ให้โอกาสเธอได้พูดเป็นครั้งสุดท้าย (จะสั่งเสีย ร่ำลาหรืออะไรก็แล้วแต่)​ จะต้องเป็น I'll let you~
คำว่า แล้ว เยอะจังเนาะ 🤣🤣 ฟังเพลงนี้จบแล้ว อ่านคำแปลจบแล้ว อ่านคำอธิบายเพิ่มแล้ว มีใครรู้สึกแล้วใจขึ้นบ้างแล้วมั่งว่าเพลงนี้สื่ออะไร
อย่างไรก็ตาม เพลงนี้ก็เหมือนเพลงอื่นๆ เอาเนื้อเพลงไปปรับใช้ได้ตามสถานการณ์ชีวิตนะคะ ใครที่รู้สึกโดนหาเรื่องอยู่ตลอด ก็พยายามอย่าไปใส่ใจปากนกปากกามากนัก 'cuz haters gonna hate. ต่อให้ทำดีแค่ไหน แต่ถ้าใจเค้าไม่รับเรา เค้าก็ไม่ชอบเราอยู่ดี อย่าเสียเวลาเก็บคำพูดเค้ามาคิดเลยดีกว่า
สตรองไว้ค่ะ ♥
1 note · View note
Text
Numb
youtube
[ Numb - ด้านชา ]
ความหมายในภาพรวม: การถูกใครสักคนกดดันมานาน จนไม่อาจทนได้อีกต่อไป
I'm tired of being what you want me to be Feeling so faithless, lost under the surface Don't know what you're expecting of me Put under the pressure of walking in your shoes (Caught in the undertow, just caught in the undertow) ฉันเบื่อแล้วกับการเป็นอะไรที่เธออยากให้ฉันเป็น หมดหวังเหลือเกิน ฉันหาทางออกไม่เจอ ไม่รู้ว่าเธอคาดหวังอะไรจากฉัน ด้วยการกดดัน บังคับให้เดินตามรอยเท้าของเธอ (เหมือนถูกฉุดรั้งเอาไว้ หนีไปไหนไม่ได้)
Every step that I take is another mistake to you (Caught in the undertow, just caught in the undertow) ไม่ว่าฉันจะทำอะไร มันก็กลายเป็นอีกหนึ่งความผิดพลาดสำหรับเธอ (เหมือนถูกฉุดรั้งเอาไว้ หนีไปไหนไม่ได้)
I've become so numb, I can't feel you there Become so tired, so much more aware I'm becoming this, all I want to do Is be more like me and be less like you ฉันรู้สึกด้านชาไปหมดแล้ว แม้แต่ตัวตนของเธอฉันก็ไม่รับรู้ ฉันเหนื่อยเหลือเกิน และตระหนักอะไรได้มากขึ้น ทั้งที่ฉันต้องกลายมาเป็นอย่างนี้ ที่ฉันอยากทำที่สุด คือกลับมาเป็นตัวของตัวเอง ไม่อยากเป็นเหมือนเธออีกแล้ว
Can't you see that you're smothering me Holding too tightly, afraid to lose control? 'Cause everything that you thought I would be Has fallen apart right in front of you (Caught in the undertow, just caught in the undertow) เธอมอ���ไม่ออกเหรอ ว่าเธอบีบคั้นฉันแค่ไหน จับแน่นไม่ยอมปล่อย เหมือนกลัวจะเสียการควบคุม เพราะทุกอย่างที่เธอคาดหวังว่าฉันจะเป็น ตอนนี้มันกลับกลายเป็นตรงกันข้ามแล้ว (เหมือนถูกรั้งเอาไว้ให้ติดอยู่กับที่ หนีไปไหนไม่ได้)
Every step that I take is another mistake to you (Caught in the undertow, just caught in the undertow) And every second I waste is more than I can take ทุกสิ่งที่ฉันทำ กลายเป็นความผิดพลาดในสายตาเธอ (เหมือนถูกรั้งเอาไว้ให้ติดอยู่กับที่ หนีไปไหนไม่ได้) และฉันไม่อาจทนเสียเวลาอีกต่อไปแม้เพียงวินาทีเดียว
I've become so numb, I can't feel you there Become so tired, so much more aware I'm becoming this, all I want to do Is be more like me and be less like you
ฉันรู้สึกด้านชาไปหมดแล้ว แม้แต่ตัวตนของเธอฉันก็ไม่รับรู้ ฉันเหนื่อยเหลือเกิน และตระหนักอะไรได้มากขึ้น ในขณะที่ฉันต้องกลายมาเป็นอย่างนี้ ที่ฉันอยากทำที่สุด คือกลับมาเป็นตัวของตัวเอง ไม่อยากเป็นเหมือนเธออีกแล้ว
And I know, I may end up failing, too But I know You were just like me with someone disappointed in you ฉันรู้หรอก ว่าสุดท้ายฉันอาจจะล้มเหลวก็ได้ แต่ฉันก็รู้อีกเหมือนกัน ว่าเธอก็เคยเป็นเหมือนฉันนี่แหละ ที่เคยทำให้คนอื่นผิดหวังมาก่อน
I've become so numb, I can't feel you there Become so tired, so much more aware I'm becoming this, all I want to do Is be more like me and be less like you
I've become so numb, I can't feel you there (I'm tired of being what you want me to be) ฉันรู้สึกด้านชาไปหมดแล้ว แม้แต่ตัวตนของเธอฉันก็ไม่รับรู้ (ฉันหน่ายกับการต้องเป็นอะไรที่เธออยากให้ฉันเป็น)
I've become so numb, I can't feel you there (I'm tired of being what you want me to be) ฉันรู้สึกด้านชาไปหมดแล้ว แม้แต่ตัวตนของเธอฉันก็ไม่รับรู้ (ฉันหน่ายกับการต้องเป็นอะไรที่เธออยากให้ฉันเป็น)
---------
แปลไทยโดย: airidescent@tumblr // last edit: aug 2021
==================
เพลงนี้ค่อนข้างให้ความรู้สึกของพ่อแม่ที่เอาแต่บงการชีวิตลูก จนลืมไปว่าลูกก็ควรมีสิทธิ์ได้เลือกทางเดินของตัวเอง แต่ลักษณะความสัมพันธ์เช่นนี้ อาจเกิดขึ้นระหว่างพี่น้อง เพื่อนสนิท หรือคนรักก็ได้เช่นเดียวกัน
• tired คือเหนื่อย sick คือป่วย แต่ tired of/sick of แปลว่าเบื่อ หน่าย
• undertow คือกระแสน้ำที่ม้วนตัวอยู่ใต้คลื่น caught in the undertow คือถูกคลื่นซัดแล้วม้วนเข้าไปติดอยู่ในนั้น เป็นการเปรียบให้เห็นภาพของการถูกดึง ถูกฉุดรั้งเอาไว้ จนไปไหนไม่ได้
0 notes
Text
Shadow of the Day
youtube
[ Shadow of the Day - เงามืดของวัน ]
ความหมายในภาพรวม: เหนื่อยนักก็พักก่อน I close both locks below the window I close both blinds and turn away Sometimes solutions aren't so simple Sometimes goodbye's the only way, oh ฉันลงกลอนหน้าต่าง ปิดมู่ลี่ลงทั้งสองบาน แล้วเบือนหน้าหนี บางครั้ง ทางออกต่างๆ ที่มีอยู่ ก็ไม่ง่ายเลยที่จะทำตาม บางครั้ง การบอกลาก็เป็นเพียงสิ่งเดียวที่ทำได้ And the sun will set for you The sun will set for you And the shadow of the day will embrace the world in grey And the sun will set for you อีกไม่นานก็จะหมดวันแล้ว ตะวันกำลังจะตกดิน และเงามืดจะปกคลุมทุกอย่าง ตะวันกำลังจะลับฟ้าไป เพื่อคุณ In cards and flowers on your window Your friends all plead for you to stay Sometimes beginnings aren't so simple Sometimes goodbye's the only way, oh การ์ดและดอกไม้มากมายที่หน้าต่าง ถูกส่งมาจากเพื่อนๆ ที่ต่างก็ขอร้องให้คุณไม่จากไปไหน แต่บางครั้ง การต้องเริ่มใหม่อยู่เรื่อยๆ มันไม่ง่าย และบางครั้ง ก็ทำได้แค่เพียงบอกลา And the sun will set for you The sun will set for you And the shadow of the day will embrace the world in grey And the sun will set for you And the shadow of the day will embrace the world in grey And the sun will set for you And the shadow of the day will embrace the world in grey And the sun will set for you
---------
แปลไทยโดย: airidescent@tumblr // last edit: august 2021
*************************
หลายคนอาจจะมองว่าเพลงนี้เป็นเพลงอำลา ซึ่งหลายที่ก็ให้ความหมายว่าแบบนั้น เช่นว่า the sun คือ sign of life ตะวันลับฟ้าคือชีวิตลาลับ grey ในเพลงคือสีเทาของเถ้าถ่าน (ashes to ashes, dust to dust บทสวดยามบุคคลสิ้นชีพ จากธุลีสู่ธุลี ฯ) บางคนตีความว่า เงา ในเพลง คือความทรงจำที่เหลืออยู่ หลังใครคนนึงจากโลกนี้ไปแล้ว แต่ส่วนตัวแล้ว เราชอบฟังเพลงนี้ในวันที่รู้สึกไม่ดี เพลงนี้ถ้าดูแต่เนื้อหาจะดูเศร้าๆ แต่พอได้ฟังทั้งเพลง เรารู้สึกว่าในส่วนของดนตรีและเสียงร้องของเชส เพลงนี้มันทำให้ผ่อนคลายและใจเบาขึ้นอย่างบอกไม่ถูก และในขณะที่หลายคนอาจตีความว่าเพลงนี้คือเพลงลาโลกเท่านั้น เรากลับมองอีกมุมว่า ตะวันตกดินในที่นี้อาจเป็นสัญญาณบอกว่าวันที่แย่ๆ กำลังจะจบลงก็ได้ (ซึ่งโจก็เคยกล่าวไว้ว่าเพลงนี้สื่อถึงความมืดหม่น และการพยายามมองหาแสงสว่างในชีวิตหรือทางออกจากสถานการณ์ใดๆ ที่กำลังเผชิญอยู่ (https://youtu.be/m2i8abmjTDQ?t=48s) Joe Hahn: "The song is basically about shadow and darkness, and the search for finding light in life or whatever circumstances that he maybe in." // he ในที่นี้คือตัวละครในเพลง ที่กำลังประสบปัญหาบางอย่าง) สำหรับเรา the sun will set for you (ตะวันจะตกดินเพื่อคุณ) เป็นการบอกว่าเหนื่อยนักก็พักเถอะ ให้อะไรแย่ๆ มันจางไปพร้อมอาทิตย์อัสดง อะไรที่ทนทำมานาน ถ้ารู้สึกว่ามันไม่ใช่ ก็จงเดินออกมาจากจุดนั้น การบอกลามันยาก แต่ไม่ใช่ว่าทำไม่ได้ บางครั้งปัญหาหรืออุปสรรคที่ขวางอยู่ อาจไม่ได้มีไว้ให้เราแก้ แต่มีเพื่อ��ห้รู้ว่าเรายังมีทางอื่นให้เลือกเดิน การบอกลาสิ่งเดิมเพื่อเริ่มสิ่งใหม่ ไม่ว่าในรูปแบบใดก็ตาม มันเป็นไปได้และอยู่ที่เราเลือก จบวันนี้ไป วันใหม่ก็จะมา
0 notes
Text
Iridescent
youtube
[ Iridescent - เหลือบรุ้ง ] เมื่อเพลงนี้ ไม่ได้มีแค่หุ่นตีกัน ความหมายในภาพรวม: การทำใจปล่อยวางและไม่จมอยู่กับความเศร้า When you were standing in the wake of devastation When you were waiting on the edge of the unknown And with the cataclysm raining down Insides crying, "Save me now" You were there, impossibly alone เมื่อคุณอยู่ท่ามกลางหายนะที่กำลังเริ่มต้น และไม่อาจรู้ได้เลยว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้นต่อไป ยิ่งความเดือดดาลโกลาหลกระหน่ำซ้ำเข้ามา คุณได้แต่กรีดร้องในใจ ว่า "โปรดช่วยฉันที" ทว่าคุณกลับต้องเดียวดายอยู่ตรงนั้น (-- การตีความที่ 1: เจ้าตัวอยู่ในที่ที่สงครามกำลังเริ่มต้น แต่ความเสียหายมากเกินคณานับไปแล้ว และรอคอยความช่วยเหลืออยู่อย่างสิ้นหวัง -- การตีความที่ 2: ชีวิตประจำวันคนเราอาจเจอเรื่องแย่ๆ จนรู้สึกเหมือนชีวิตพัง แล้วคนคนนั้นก็รอให้ใครสักคนมาช่วยฉุดขึ้นมาจากความเศร้า) Do you feel cold and lost in desperation? You build up hope, but failure's all you've known Remember all the sadness and frustration And let it go, let it go คุณรู้สึกหนาวเหน็บและหลงอยู่ในวังวนแห่งความสิ้นหวังใช่ไหม คุณสร้างความหวังขึ้นใหม่ แต่สิ่งที่ได้กลับมีแต่ความล้มเหลวเรื่อยไป ขอให้รวบรวม ความรู้สึกทุกข์ระทมและความหมองใจทั้งหลายนั้นไว้ แล้วปลดปล่อยมันไป ปล่อยมันไป (การตีความ: คุณอาจจะลืมไม่ลง และไม่จำเป็นต้องฝืนใจลืม ว่าเคยเจอเรื่องร้ายอะไรมา แต่เมื่อระลึกได้ว่ามันทำให้รู้สึกแย่ยังไง ขอให้พยายามปล่อยวางให้ได้ แม้แต่คนที่อยู่ในพื้นที่สงคราม ที่ต้องพยายามทำใจกับความสูญเสียต่างๆ แม้มันจะทรมานมากเพียงใดก็ตาม) And in a burst of light that blinded every angel As if the sky had blown the heavens into stars You felt the gravity of tempered grace Falling into empty space No one there to catch you in their arms และทันใด ก็ปรากฏแสงสว่างวาบจนทำเอาเหล่าเทวดาตาพร่า ราวกับฟากฟ้า ฉีกกระชากสวรรค์จนกระจุยเป็นเศษดาว หัวใจคุณหนักอึ้ง กับความงดงามที่หายไป ฉุดให้คุณร่วงหล่นสู่พื้นที่ว่างเปล่า ไม่มีใครอ้าแขนรอรับคุณเลย (-- การตีความที่ 1: หมายถึงระเบิดนิวเคลียร์ เมื่อมันลงสู่พื้นที่ใดที่นั้นจะสว่างเหมือนดวงอาทิตย์ และทุกอย่างจะแหลกเป็นจุณ บางคนกล่าวว่าเหล่า angel ในที่นี้อาจหมายถึงผู้คนบริสุทธิ์ทั้งหลายที่ต้องมาประสบกับเหตุการณ์นี้ ซึ่งบางคนรอด บางคนไม่รอด -- การตีความที่ 2: เจ้าตัวรู้สึกว่าชีวิตพังทลาย ใจสลายเป็นเสี่ยงๆ และตอนที่ล้ม ก็ล้มคนเดียว เจ็บคนเดียว ไม่มีใครเหลียวแลหรือยื่นมือเข้าช่วย) Do you feel cold and lost in desperation? You build up hope, but failure's all you've known Remember all the sadness and frustration And let it go, let it go Do you feel cold and lost in desperation? You build up hope, but failure's all you've known Remember all the sadness and frustration And let it go Let it go Let it go Let it go Let it go Do you feel cold and lost in desperation? You build up hope, but failure's all you've known Remember all the sadness and frustration And let it go, let it go
---------
แปลไทยโดย: airidescent@tumblr // last edit: august 2021
+*+*+*+*+*+*+*+*+*+*+*+*+*+*+*+*+
เป็นอีกเพลงที่ ไม่สามารถจะแปลแบบชี้ชัดไปทางใดทางหนึ่งเท่านั้นได้ จึงต้องแปลตรงตัวไปแต่ละบรรทัดก่อน ว่า ตรงนี้เขาพูดว่าอย่างไร และมันสื่อถึงอะไรได้บ้าง จุดที่น่าสนใจ คือ การใช้คำต่างๆ gravity ปกติแปลว่าแรงโน้มถ่วง/แรงดึงดูด แต่เมื่อใช้ในการเปรียบเปรย อาจหมายถึงความรู้สึกหนัก หน่วง ถ่วง ฉุดให้ลงต่ำ
grace หมายถึงความดี ความงาม และถ้า Grace (สะกดด้วย G ตัวใหญ่) จะหมายถึงพระสิริของพ���ะเจ้า
temper หมายถึงอารมณ์ฉุนเฉียวได้ แต่การที่อะไรสักอย่างถูก tempered คือการบรรเทาสิ่งนั้นลง เช่น tempered glass คือกระจกนิรภัย แตกแล้วไม่บาดเนื้อ
แต่ tempered grace คืออะไรล่ะ? (ตอนแรกคิดว่าถ้าเนื้อเพลงเขียน tempered Grace คงจะแปลไปว่า แรงพิโรธของพระเจ้า แต่มันไม่ใช่ เลยแปลแบบนั้นไม่ได้)
ในที่นี้จึงแปลตามบริบทของเพลงได้ว่า เป็นความงามที่ถูกลดค่า หรือเปลี่ยนสภาพไป คือ แย่ลงเพราะสงคราม หรือบางคนชีวิตกำลังไปได้ดีมาตลอด แต่อยู่มาวันหนึ่งต้องเจอจุดพลิกผัน จนทุกอย่างมันแย่ลง
empty space คือ ณ ที่แห่งนั้น มันถูกทำลายล้างไปแล้วจนไม่เหลืออะไรอีกต่อไป เพลงนี้ก็เหมือน bits คือนอกจากพูดถึงความเสียหายจากสงครามแล้ว ยังเป็นเรื่องของชีวิตของคนคนหนึ่งในสังคมปกติได้เหมือนกัน คนที่ต่อสู้อะไรมาจนเหนื่อย จนล้า จนท้อ เจอมรสุมชีวิตกระหน่ำใส่ตลอดเวลา เพลงนี้ขอให้คุณปล่อยวางแล้วเดินหน้าต่อไป เข้มแข็งไว้นะคะทุกคน ♥
0 notes
Text
Burning in the Skies
youtube
[ Burning in the Skies - เปลวเพลิงในนภากาศ ] ความหมายในภาพรวม: ความรู้สึกเสียใจ เสียดาย กับความสูญเสียที่ไม่อาจเรียกคืน I used the dead wood to make the fire rise The blood of innocence burning in the skies ฉันสุมฟืนเข้ากองไฟ เพื่อให้เปลวเพลิงลุกโหมขึ้น หยาดเลือดผู้บริสุทธิ์ถูกเผาไหม้จนฟุ้งไปทั่วบนฟ้า (การตีความ: รู้ทั้งรู้ว่าสถานการณ์จะแย่ลง ก็ยังกระหน่ำซ้ำเข้าไป จนคนที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ต้องรับเคราะห์ไปด้วย) I filled my cup with the rising of the sea And poured it out in an ocean of debris ฉันเอาแก้วตักตวงน้ำทะเลยามคลื่นซัดสาดขึ้นมา แล้วเทราดมันลงไปในมหาสมุทรแห่งซากปรักหักพัง (-- การตีความที่ 1: อาจหมายถึงการฟื้นฟูหลังสงคราม ที่บ้านเมืองอาจจะบอบช้ำสาหัสจนฟื้นตัวยาก -- การตีความที่ 2: อาจเป็นการตั้งความหวังอะไรลมๆ แล้งๆ เช่น คิดว่าเอาน้ำไปเติมในแหล่งน้ำที่มีแต่เรือแตก แล้วเรือจะกลับมาแล่นได้เหมือนเดิม -- การตีความที่ 3: ดึงประโยชน์จากที่หนึ่ง ไปสู่อีกที่หนึ่งที่ไม่ก่อประโยชน์ เหมือนในเนื้อเพลงบอก เอาน้ำจากที่หนึ่ง ไปลงอีกที่หนึ่งที่มีแต่ขยะ แต่ไม่กำจัดขยะออกจากน้ำ -- การตีความที่ 4: ได้รับโอกาสดีๆ มาแล้ว แต่ทิ้งมันไปเปล่าๆ หรือใช้โอกาสนั้นแบบผิดที่ผิดทาง อนึ่ง marine debris หรือ ocean debris (เขียนแบบไม่มี of ระหว่างคำ) มันคือขยะในทะเลที่มนุษย์ทิ้งลงไป แต่ ocean of debris เป็นการพรรณาเปรียบเทียบ ให้เห็นภาพของความเสียหายที่กินพื้นที่ไปทุกหัวระแหง ไกลสุดลูกหูลูกตา) Oh, I'm swimming in the smoke Of bridges I have burned So don't apologize I'm losing what I don't deserve What I don't deserve ฉันแหวกว่ายอยู่ในหมอกควัน แห่งสะพานทั้งหลายที่ฉันเผามันไปกับมือ แต่ไม่ต้องแสดงความเสียใจกับฉันหรอก เพราะสิ่งที่สูญเสียไป ไม่ใช่สิ่งที่ฉันคู่ควร ไม่ใช่สิ่งที่ฉันคู่ควร (การตีความ: สะพาน คือสัญลักษณ์ของโอกาส หรือการเชื่อมโยงระหว่างสิ่งต่างๆ อาจหมายถึงความสัมพันธ์ทั้งระหว่างบุคคลและระหว่างประเทศก็ได้ การจุดไฟเผา คือการทำลายโอกาสหรือความสัมพันธ์นั้นไป การแหวกว่ายอยู่ในหมอกควัน เท่ากับการติดหล่ม จมอยู่กับความผิดพลาด รู้สึกเสียดายในสิ่งที่ตัวเองทำไป แต่สุดท้ายก็ปลอบใจตัวเองว่าดีแล้วที่ไม่ได้ไปต่อในเส้นทางนั้น) We held our breath when the clouds began to form But you were lost in the beating of the storm And in the end, we were made to be apart In separate chambers of the human heart เรากลั้นหายใจตอนที่เห็นกลุ่มเมฆเริ่มก่อตัว แต่แล้วเธอก็หลุดเข้าไปในพายุที่กำลังคลั่ง และสุดท้ายแล้ว เราถูกกำหนดให้ต้องแยกทางกันอยู่ดี กระจัดกระจายกันไป ตามแต่ละห้องหัวใจ (การตีความ: การกลั้นหายใจ อาจหมายถึงการข่มใจ อดทน อดกลั้น หรือการเงียบแต่ก็รอจังหวะปะทุ ท่อนนี้อาจหมายถึงสถานการณ์ที่มีการทะเลาะเบาะแว้ง ข้อขัดแย้ง ข้อพิพาทต่างๆ เมฆก่อตัวหมายถึงบรรยากาศมาคุ และพายุที่พัดกระหน่ำอาจหมายถึงเมื่อฝ่ายหนึ่งควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้ ท้ายที่สุด ต่างฝ่ายต่างต้องแยกทางกันไป เหลือไว้เพียงความทรงจำให้นึกถึง) Oh, I'm swimming in the smoke Of bridges I have burned So don't apologize I'm losing what I don't deserve It's in the blackened bones Of bridges I have burned มันตราตรึงอยู่ในเสาสะพาน ที่ฉันเผาจนไหม้เป็นตอตะโกไปแล้ว (การตีความ: เจ้าตัวอาจจะรู้สึกแย่กับสิ่งที่ได้ทำลงไป หรือละเลยอะไรไปจนหมดโอกาสจะทำ จนรู้สึกเป็นตราบาปฝังลึกในใจ) So don't apologize I'm losing what I don't deserve What I don't deserve I'm swimming in the smoke Of bridges I have burned So don't apologize I'm losing what I don't deserve The blame is mine alone For bridges I have burned ความผิดนี้ฉันโทษใครไม่ได้ กับโอกาสทั้งหลายที่ฉันพังมันไปเอง So don't apologize I'm losing what I don't deserve What I don't deserve
What I don't deserve, oh-whoa What I don't deserve I used the dead wood to make the fire rise The blood of innocence burning in the skies
---------
แปลไทยโดย: airidescent@tumblr // last edit: august 2021
---------
ทั้งที่รู้แก่ใจว่าเรื่องราวจะเลวร้ายลง แต่ฉันยังคงไม่หยุดแค่นี้ กระทั่งหลายชีวิตที่ไม่รู้เรื่องราวต้องมาพาลรับผลกระทบ ฉันรีบคว้าเอาผลประโยชน์เต็มที่เมื่อสบจังหวะ ทว่า มันกลับให้ผลที่ไร้ค่าเหลือประมาณ
ฉันกำลังรับกรรม จากการทำลายโอกาสทั้งหลายด้วยมือตัวเอง แต่ไม่ต้องเสียใจกับฉันหรอก เพราะสิ่งที่เสียไป ไม่ใช่สิ่งที่ฉันคู่ควร ไม่ใช่สิ่งที่ฉันคู่ควร
เราต่างนิ่งเงียบในยามบรรยากาศเริ่มมาคุ และเมื่อสงครามปะทุ เธอก็ติดอยู่ในความคลั่งนั้น ท้ายที่สุดแล้ว เราต่างต้องแยกจากกัน ตามชะตาที่พัดพาเราไปตามแต่ละห้องหัวใจ
ฉันกำลังรับกรรม จากการทำลายโอกาสทั้งหลายด้วยมือตัวเอง แต่ไม่ต้องเสียใจกับฉันหรอก เพราะสิ่งที่เสียไป ไม่ใช่สิ่งที่ฉันคู่ควร
ความผิดนี้ไม่มีวันลบเลือน ที่ฉันได้ลงมือทำลายโอกาสทั้งหลายไป แต่ไม่ต้องเสียใจกับฉันหรอก เพราะสิ่งที่เสียไป ไม่ใช่สิ่งที่ฉันคู่ควร
ความผิดนี้ฉันโทษใครไม่ได้ ที่ฉันได้ทำลายโอกาสทั้งหลายไปด้วยมือตัวเอง แต่ไม่ต้องเสียใจกับฉันหรอก เพราะสิ่งที่เสียไป ไม่ใช่สิ่งที่ฉันคู่ควร ไม่ใช่สิ่งที่ฉันคู่ควร --------- airidescent เรียบเรียงใหม่ :: september 16, 2021
+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+
เพลงนี้ (และ iridescent) ถ้ามองในมุมสงครามตาม theme ของอัลบั้ม ats แล้ว ���ะเห็นภาพถึงการใช้ระเบิดนิวเคลียร์ การใช้อาวุธสงครามกระหน่ำใส่กันและกัน เห็นภาพของการได้ประโยชน์และเสียประโยชน์ ของทั้งผู้นำและคนในชาติ การตัดสินใจที่ผิดพลาดต่างๆ ของคนที่เกี่ยวข้อง ฯลฯ แต่ถ้ามองในมุมของคนทั่วไปที่ใช้ชีวิตในสังคมปกติ ที่กำลังมีปัญหาอะไรสักอย่างอยู่ ก็ได้อีกเหมือนกัน ใน mv เพลง bits เราได้เห็นแง่มุมทุกอย่างรวมอยู่ในนั้น เราเห็นคู่รัก(ที่น่าจะปรับความเข้าใจกันอยู่ในรถ) เห็นครอบครัวนั่งดูข่าวสีหน้าตึงเครียด เห็นคุณลุงคนหนึ่งตั้งโต๊ะทานข้าวคิดถึงคนที่น่าจะเป็นภรรยา เห็นคนที่ไม่พอใจกับเงาของตัวเองในกระจก เราเห็นกลุ่มเพื่อนที่อยู่ดีๆ ก็เหมือนจะผิดใจกัน เราเห็นเด็กที่กำลังเล่นสนุกอย่างไร้เดียงสา เห็นวัยรุ่นกำลังตั้งใจทำการบ้าน แล้วอยู่ดีๆ ก็มีระเบิดลง ... และการระเบิดนั้นเองคือสัญลักษณ์ที่บอกว่าทุกคนล้วนสูญเสีย และหมดโอกาสครั้งต่อไป ไม่มีโอกาสให้ทำอะไรได้อีกแล้ว แม้จะเป็นเพียงผู้บริสุทธิ์ก็ตาม เราชอบเพลงนี้ตรงที่มันตีความได้หลากหลายมากๆ และคนที่จะแต่งเพลงได้แบบนี้ต้องเก่งมากๆ เช่นกัน มีการใช้คำเปรียบเปรยต่างๆ ที่ให้ความหมายไม่ตายตัว ถ้ามองให้เป็นเรื่องสงคราม คุณจะเห็นภาพของสงคราม ที่ผู้มีอำนาจสั่งการทำลายล้างจนเกิดความเสียหายเกินเยียวยา ถ้ามองในมุมชีวิตประจำวันธรรมดาของคนคนหนึ่ง คุณก็จะเห็นความขัดแย้งต่างๆ ที่เขามี ทั้งกับตัวเองและกับคนอื่น เพลงเพลงเดียว สามารถหยิบเอาไปใช้ได้ในหลายสถานการณ์ เชื่อมโยงเข้าได้กับชีวิตของทุกคนเลยทีเดียว (แม้จะเป็นที่รู้กันอยู่แล้วว่าเพลงของ LP เป็นเพลงที่ universal คือกว้างมากและเข้าถึงได้ทุกคน ทุกกลุ่ม ทุกเพศ ทุกวัย แบบที่ใครฟังแล้วก็จะ เออ ใช่ๆ นี่ชีวิตฉันเลย อะไรประมาณนั้น แต่เพลงใน ats เรารู้สึกว่ามันลึกซึ้งไปกว่านั้นมาก มีความซับซ้อนกว่าเพลงในอัลบั้มอื่น แปลความให้เห็นภาพได้หลายเรื่องราวในเพลงเดียว) เพลงสั้นแต่คุยได้ยาว เพราะมันช่างล้ำลึกจริงๆ
0 notes
Text
With You
youtube
[ With You - อยู่กับเธอ ]
ความหมายในภาพรวม: ความรู้สึกคลางแคลงใจ ไม่มั่นใจในความสัมพันธ์
I woke up in a dream today to the cold of the static and put my cold feet on the floor Forgot all about yesterday Remembering I'm pretending to be where I'm not anymore A little taste of hypocrisy And I'm left in the wake of the mistake, slow to react Even though you're so close to me You're still so distant and I can't bring you back ฉันตื่นขึ้นมาในฝันของตัวเอง ที่ซึ่งทุกอย่างเงียบงันและหนาวเหน็บ ฉันก้าวเท้าเย็นๆ ลงพื้น และลืมเรื่องราวของเมื่อวานไปสิ้น จำได้เพียงว่า ฉันแสร้งทำตัวเหมือนเดิม ทั้งที่ฉันเปลี่ยนไปแล้ว ดูเป็นคนตลบแตลงนิดหน่อย แล้วก็เห็นปัญหาเริ่มก่อตัว แต่ฉันยังมัวลังเล แม้ตอนนี้เธอจะอยู่ใกล้แค่ไหน ฉันกลับรู้สึกว่าเธอนั้นไกลห่างเหลือเกิน และฉันก็ไม่อาจดึงเธอกลับมาได้
It's true The way I feel Was promised by your face The sound of your voice Painted on my memories Even if you're not with me I'm with you มันจริง ว่าสิ่งที่ฉันกำลังรู้สึก มันเป็นเพราะภาพใบหน้าของเธอที่ยังตราตรึง น้ำเสียงของเธอ แต่งแต้มความทรงจำฉันไว้มากมาย ถึงแม้เธอจะอยู่ไกลออกไป แต่ฉันไม่เคยห่างจากเธอ
You now I see Keeping everything inside (with you) You now I see Even when I close my eyes เธอ ตอนนี้ฉันเข้าใจแล้ว ทว่าได้แต่เก็บมันไว้ข้างใน (กับเธอ) เธอ ตอนนี้ฉันกระจ่างแล้ว แม้แต่ตอนที่ฉันหลับตา
I hit you and you hit me back We fall to the floor, the rest of the day stands still Fine line between this and that When things go wrong I pretend that the past isn't real Now I'm trapped in this memory And I'm left in the wake of the mistake, slow to react So even though you're close to me You're still so distant and I can't bring you back เราทะเลาะกัน ลงไม้ลงมือใส่กัน แล้วก็ลงไปนอนกองกับพื้นกันทั้งคู่ วันนั้นทั้งวันเหมือนทุกอย่างหยุดนิ่ง เส้นบางๆ ที่คั่นอยู่ระหว่างเรื่องราวต่างๆ พอมีอะไรบางอย่างไม่เป็นไปตามคาด ฉันก็แสร้งทำเป็นว่ามันไม่เคยเกิดขึ้น แล้วตอนนี้ฉันก็ติดแหง็กอยู่กับความทรงจำนี้ ตอนปัญหาเพิ่งเริ่มก่อตัว ฉันก็มัวลังเล ในตอนนี้ แม้เธอจะอยู่ใกล้แค่ไหน ฉันกลับรู้สึกว่าเธอนั้นไกลห่างเหลือเกิน และฉันก็ไม่อาจดึงเธอกลับมาได้
It's true The way I feel Was promised by your face The sound of your voice Painted on my memories Even if you're not with me I'm with you
You now I see Keeping everything inside (with you) You now I see Even when I close my eyes I'm with you
You now I see Keeping everything inside (with you) You now I see Even when I close my eyes
No, no matter how far we've come I can't wait to see tomorrow No matter how far we've come I I can't wait to see tomorrow แม้เราจะมาไกลกันขนาดนี้แล้ว แต่ฉันก็ยังเฝ้ารอดูว่าจะเกิดอะไรขึ้นพรุ่งนี้ (การตีความ: เจ้าตัวไม่มั่นใจกับสถานการณ์ที่เป็นอยู่)
With you You now I see Keeping everything inside (with you) You now I see Even when I close my eyes With you You now I see Keeping everything inside (with you) You now I see Even when I close my eyes
---------
แปลไทยโดย: airidescent@tumblr // last edit: august 2021
*************************
เพลงนี้อาจจะตีความได้ว่า คนสองคนคบหากันมานานแล้ว (ไม่ว่าจะเป็นเพื่อน คนรัก หรือใครก็ตาม) อยู่ด้วยกันจนชาชิน จนวันหนึ่งอีกฝ่ายเริ่มเปลี่ยนไปทีละน้อย อยู่ด้วยกันต่อด้วยความรู้สึกไม่มั่นใจว่าจะคบกันต่อได้อีกนานไหม แต่อาจด้วยความผูกพัน เพราะผ่านเรื่องราวอะไรมาด้วยกันมากมาย สุดท้าย ���ม้ไม่ได้บอกเลิกคบกัน แต่ก็อยู่ด้วยกันแบบไม่สนิทใจเท่าเดิม
0 notes
Text
One Step Closer
youtube
[ One Step Closer - ใกล้ถึงจุดแตกหัก ]
I cannot take this anymore Saying everything I've said before All these words they make no sense I find bliss in ignorance Less I hear, the less you say You'll find that out anyway ฉันทนไม่ไหวแล้ว พูดแต่เรื่องเดิมๆ ซ้ำๆ อีกแล้ว แต่ละอย่างที่พูดออกไป ช่างไร้สาระ อยู่แบบโง่ๆ ยังมีความสุขกว่า ฉันเริ่มขี้เกียจฟัง เธอก็เริ่มขี้เกียจพูด แต่เดี๋ยวเธอก็หาทางจนได้ Just like before เหมือนที่ผ่านมา Everything you say to me Takes me one step closer to the edge And I'm about to break I need a little room to breathe 'Cause I'm one step closer to the edge I'm about to break ทุกคำที่เธอพ่นออกมา ทำเอาฉันใกล้บ้าเข้าไปทุกที ฉันใกล้จะฟิวส์ขาดแล้ว ฉันขอที่ให้หายใจบ้าง เพราะฉันจะบ้าตายอยู่แล้ว ฟิวส์จะขาดแล้วเว้ย I find the answers aren't so clear Wish I could find a way to disappear All these thoughts they make no sense I find bliss in ignorance Nothing seems to go away Over and over again คำตอบที่ได้ก็ไม่กระจ่างสักเรื่อง ถ้าหายตัวไปได้ก็คงจะดี ความคิดพวกนี้ไม่เห็นเข้าท่าสักอย่าง ให้อยู่โง่ๆ ยังมีความสุขเสียกว่า แล้วทุกอย่างก็ยังเป็นเหมือนเดิม ซ้ำแล้วซ้ำอีก Just like before เหมือนที่ผ่านมา Everything you say to me Takes me one step closer to the edge And I'm about to break I need a little room to breathe 'Cause I'm one step closer to the edge I'm about to break Everything you say to me Takes me one step closer to the edge And I'm about to break I need a little room to breathe 'Cause I'm one step closer to the edge And I'm about to Break! Shut up when I'm talking to you! Shut up! Shut up! Shut up! Shut up when I'm talking to you! Shut up! Shut up! Shut up! Shut up! I'm about to break! หุบปากตอนฉันพูดกับเธอ! หุบปาก! ฉันไม่ไหวแล้วโว้ย! Everything you say to me Takes me one step closer to the edge And I'm about to break I need a little room to breathe 'Cause I'm one step closer to the edge I'm about to break Everything you say to me Takes me one step closer to the edge And I'm about to break I need a little room to breathe 'Cause I'm one step closer to the edge And I'm about to Break!
---------
แปลไทยโดย: airidescent@tumblr // last edit: august 2021
1 note · View note
Text
Papercut
youtube
[ Papercut - รอยเฉือนบางๆ ] ความหมายในภาพรวม: ความอึดอัด รู้สึกขัดแย้งภายในตัวเอง เหมือนมีหลายบุคลิก
Why does it feel like night today? Something in here's not right today. Why am I so uptight today? Paranoia's all I got left ทำไมทุกอย่างดูมืดไปหมดนะวันนี้ มันมีอะไรบางอย่างไม่ปกติ ทำไมรู้สึก��งุดหงิดจังนะ รู้สึก��อยด์ไปหมด   I don't know what stressed me first Or how the pressure was fed But I know just what it feels like To have a voice in the back of my head ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเครียดกับอะไรเป็นอย่างแรก หรืออยู่ดีๆ ทำไมรู้สึกกดดันขนาดนี้ แต่ฉันรู้ดีว่ามันเป็นยังไง ตอนที่รู้สึกเหมือนมีเสียงใครก้องอยู่ในหัว   Like a face that I hold inside A face that awakes when I close my eyes A face that watches every time I lie A face that laughs every time I fall (And watches everything) เหมือนมีใบหน้าของใครอีกคนที่ฉันเก็บกดเอาไว้ ใบหน้าที่ลืมตาตื่นเมื่อยามฉันหลับตาลง ใบหน้าที่คอยจับจ้องทุกครั้งที่ฉันพูดปด ใบหน้าที่คอยหัวเราะเยาะเย้ยทุกครั้งที่ฉันทำพลาด
So I know that when it's time to sink or swim That the face inside is here in me Right underneath my skin ฉันรู้ดี ในช่วงเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อ ไอ้ใบหน้านั่นมันอยู่ในหัวฉัน อยู่ในตัวฉันทุกกระเบียด
It's like I'm paranoid lookin' over my back It's like a whirlwind inside of my head It's like I can't stop what I'm hearing within It's like the face inside is right beneath my skin เหมือนกับว่าฉันพะวักพะวง เอาแต่ระแวง ราวกับมีพายุหมุนปั่นป่วนอยู่ในหัว เหมือนว่าเสียงที่ฉันได้ยินจากข้างในมันจะไม่เงียบหายไป เหมือนกับไอ้ใบหน้านั่น มันอยู่ในตัวฉันทุกกระเบียดนิ้ว I know I've got a face in me Points out all my mistakes to me You've got a face on the inside too Your paranoia's probably worse ฉันรู้ว่ามันม��อีกคนอยู่ในตัว ที่เอาแต่จี้จุดที่ฉันทำพลาดไป เธอเองก็มีอีกคนในตัวเหมือนกัน เผลอๆ อาการของเธออาจแย่กว่าของฉันอีก I don't know what set me off first But I know what I can't stand Everybody acts like the fact of the matter Is I can't add up to what you can ไม่รู้เหมือนกันว่าอะไรทำให้ฉันเริ่มโกรธ แต่ฉันรู้ ว่าอะไรที่ฉันทนไม่ได้ แต่ละคนทำราวกับว่า ฉันทำอะไรสู้เธอไม่ได้ But everybody has a face that they hold inside A face that awakes when I close my eyes A face that watches every time they lie A face that laughs every time they fall (And watches everything) แต่เชื่อเถอะ ใครๆ ก็มีอีกตัวตนที่เก็บกดไว้กันทั้งนั้น เหมือนไอ้ใบหน้านั่น ที่ลืมตาตื่นยามฉันหลับ ใบหน้าที่คอยจับจ้อง ยามพวกเขาโกหก ใบหน้าที่คอยเยาะเย้ย ยามพวกเขาก้าวพลาด (และคอยจ้องมองทุกอย่าง) So you know that when it's time to sink or swim That the face inside is watching you too Right inside your skin เธอก็รู้สินะ ว่าช่วงเวลาจะเลือกสู้หรือถอย จะมีไอ้ใบหน้านั่นคอยจ้องเธออยู่เหมือนกัน มันอยู่ในตัวเธอนั่นไง It's like I'm paranoid lookin' over my back It's like a whirlwind inside of my head It's like I can't stop what I'm hearing within It's like the face inside is right beneath the skin เหมือนกับว่าฉันพะวักพะวง เอาแต่ระแวง ราวกับมีพายุหมุนปั่นป่วนอยู่ในหัว เหมือนว่าเสียงที่ฉันได้ยินจากข้างในมันจะไม่เงียบหายไป เหมือนกับไอ้ใบหน้านั่น มันอยู่ในตัวฉันทุกกระเบียดนิ้ว It's like I'm paranoid lookin' over my back It's like a whirlwind inside of my head It's like I can't stop what I'm hearing within It's like the face inside is right beneath my skin เหมือนกับว่าฉันพะวักพะวง เอาแต่ระแวง ราวกับมีพายุหมุนปั่นป่วนอยู่ในหัว เหมือนว่าเสียงที่ฉันได้ยินจากข้างในมันจะไม่เงียบหายไป เหมือนกับไอ้ใบหน้านั่น มันอยู่ในตัวฉันทุกกระเบียดนิ้ว The face inside is right beneath the skin [3x] The sun goes down I feel the light betray me The sun goes down I feel the light betray me ตะวันค่อยๆ ตกดิน รู้สึกเหมือนต้องติดอยู่ในความมืดตลอดไป ตะวันค่อยๆ ลับฟ้า ราวกับว่าฉันจะไม่ได้พบแสงสว่างอีกแล้ว
The sun (It's like I'm paranoid lookin' over my back) (It's like a whirlwind inside of my head) (It's like I can't stop what I'm hearing within) (It's like the face inside is right beneath the skin) I feel the light betray me The sun (It's like I'm paranoid lookin' over my back) (It's like a whirlwind inside of my head) (It's like I can't stop what I'm hearing within) (It's like I can't stop what I'm hearing within) I feel the light betray me (It's like I can't stop what I'm hearing within) The sun (It's like the face inside is right beneath my skin)
---------
แปลไทยโดย: airidescent@tumblr // last edit: sep 2021
********************
โดยปกติแล้ว betray แปลว่า ทรยศ หักหลัง
ในที่นี้ การถูกแสงสว่างหักหลัง ก็เหมือนการไม่เห็นแสงทั้งที่ควรจะเห็น ให้ลองนึกภาพ เหมือนเราอยู่ในที่มืดๆ แล้วจุดเทียนไม่ติด รอบด้านมืดหมด เปิดประตูหรือหน้าต่างก็ไม่เจอแสงตะวัน แม้แต่แสงจันทร์ก็ไม่มี
ส่วนการติดอยู่ในความมืด จะตีความว่าอะไรได้บ้าง คงแล้วแต่ทัศนะของแต่ละคน เช่น รู้สึกมืดแปดด้าน ไร้ทางออก รู้สึกจมดิ่ง จมปลัก ดึงตัวเองไม่ขึ้น ฯลฯ
0 notes