#HIKENOStory : เรื่องราวความจริง 3 ชั่วโมงจาก ‘ฮิราเทะ ยูรินะ’
แปล : Strobolight / เรียบเรียง : HIKENO’s BOY
.
.
ความรู้สึก ณ ขณะนี้ของเด็กสาวอายุ 19 ปี
บทสัมภาษณ์ความยาว 3 ชั่วโมงครั้งแรกหลังอายุครบ 19 ปี
ภาพยนตร์ ดนตรี การแสดง สิ่งที่คิด และเรื่องที่รู้สึก
ขณะอยู่ตัวคนเดียวของเธอ ‘ฮิราเทะ ยูรินะ’
.
ฮิราเทะได้ทำกิจกรรมเดี่ยวหลังออกจาก Keyakizaka46 วงไอดอลที่เธอเป็นสมาชิกมา 5 ปีนับตั้งแต่เดบิวต์ หลังผ่านขวบปีที่ 18 อันแสนอลหม่าน เธอก็อายุครบ 19 ปีในวันที่ 25 มิถุนายนของปีนี้ การสัมภาษณ์ฮิราเทะแทบทุกครั้งได้สร้างจังหวะอันเป็นธรรมชาติระหว่างเธอกับนิตยสาร ROCKIN’ ON JAPAN
.
ก่อนการสัมภาษณ์ เรา (ทีมงาน และบางครั้งฮิราเตะก็ร่วมด้วย) จะพูดคุยกันยาวนานก่อนเริ่มสัมภาษณ์จริงแทบทุกครั้ง เกี่ยวกับเรื่องที่เธออยากบอกตอนนี้, เหตุการณ์ไหนที่กระตุ้นให้เธอคิดหรือทำอะไรลงไป, เธอยังรู้สึกขัดแย้งในใจอยู่ไหม, เธอจะมี “ความคิดเด็กๆ” ที่พูดถึงระหว่างพูดคุยได้ไหม หรือในอายุที่เพิ่มขึ้นอีกปีเกิดความเปลี่ยนแปลงอะไรในใจของเธอบ้าง และอะไรที่ไม่เปลี่ยน การรวบรวม “เศษเสี้ยวความเป็นจริง” เช่นนี้ พวกเราจะจัดเรียงตามลำดับเวลาและปรึกษากันเพื่อหาว่าควรนัดสัมภาษณ์ครั้งนี้เมื่อไหร่และเวลาใดที่เหมาะจะตีพิมพ์ที่สุด
.
และนี่คือบทสัมภาษณ์ชิ้นแรกหลังอายุครบ 19 ปี อะไรที่จบไปแล้วและอะไรที่กำลังเริ่มต้นในใจของฮิราเทะ เราหวังจะได้ยินเธอแลกเปลี่ยนในหัวข้อแง่บวกนี้ กล่าวโดยสรุป การสัมภาษณ์นี้เริ่มด้วยหัวข้อการกำหนดคุณค่า รวมถึงว่าอะไรคือ “การแสดง” “ความรับผิดชอบ” หรือ “ดนตรี” สำหรับฮิราเตะในวัย 19 ปี และเธออยากบอกอะไรกับผู้อ่านล่วงหน้าผ่านทางนิตยสารฉบับนี้
.
ถึงการสัมภาษณ์ชิ้นยาวนี้จะกินเวลานานกว่า 3 ชั่วโมง คำพูดของฮิราเทะคล้ายกับการถามตอบตัวเองและค่อยๆ เปิดใจวัย 19 ปีของเธอต่อเรา ผมจะยินดีมากถ้าคุณรู้สึกได้ถึงความตื่นเต้นในใจจริงของเธอหลังใช้ชีวิตในวันเวลาที่หมุนไปเร็ว และสัมผัสความรู้สึกที่สะท้อนผ่านบทสัมภาษณ์ของวันนี้
.
.
Q: คำถามแรกเลย ช่วงนี้ทำอะไรอยู่บ้างครับ
H: ตอนนี้กำลังถ่ายภาพยนตร์เรื่อง "The Fable" อยู่ค่ะ เป็นไปได้ว่าอาจจะปิดกล้องกันได้พรุ่งนี้ เราเริ่มถ่ายทำกันก่อนไวรัส COVID-19 ระบาด แต่พอมีเหตุการณ์นั้นทำให้เราต้องพักกองไปช่วงนึงและตอนนี้กลับมาถ่ายต่อได้แล้ว ระยะเวลาถ่ายทำเรื่องนี้ถือว่านานมาก และโชคดีที่ฉันได้มีส่วนร่วมในหลายฉาก หลายครั้งจึงได้พูดคุยกับทีมงานมากมาย
อย่างที่คาดไว้ในตอนแรก-แน่นอนว่าเป็นกับทุกอย่างและทุกครั้ง ฉันรู้สึกประหม่าและกังวล แม้แต่ตอนกลับมาถ่ายทำ ส่วนใหญ่ฉันรู้สึกกังวลมากกว่า โชคดีว่าเวลาที่ทีมงานเจอ “คนแบบฉัน” พวกเขาจะคอยปลอบโยนและดูแลความรู้สึกของฉัน ซึ่งทำให้ฉันสัมผัสได้ถึงความจิตใจดีของพวกเขา ตอนนี้ฉันจึงรู้สึกโดดเดี่ยวน้อยลง อย่างไรก็ดี งานจะยังไม่สมบูรณ์จนกว่าจะปิดกล้องค่ะ ถ้ามันเป็นผลงานที่ดีก็คงยอดไปเลย! (หัวเราะ)
.
Q: คุณบอกว่า “รู้สึกกังวลเสมอเมื่อเริ่มถ่ายทำ” ความรู้สึกกังวลนั้นเป็นแบบไหนหรือครับ
H: “ฉันจะสื่ออารมณ์ของตัวละคนได้รึเปล่า?” “งานชิ้นนี้จะดีขึ้นเพราะฉันมีส่วนร่วมไหมนะ?” หรือ “ฉันสร้างปัญหาให้ใครรึเปล่า?” สำหรับภาพยนตร์ เรื่องที่ฉันมักกังวลก็เป็นเรื่องพวกนี้ค่ะ
.
Q: คุณคิดว่าความกังวลใน���อนนี้กับเมื่อก่อนมีการเปลี่ยนไปบ้างไหม
H: ไม่เปลี่ยนเลยค่ะ ตอนนี้ฉันยังรู้สึกกังวลมากๆ คิดว่าหลังถ่ายจบก็ยังกังวล และกังวลต่อไปอีกแม้จะฉายแล้ว ฉันคิดเป็นแบบนี้ไปตลอด ฉันยังไม่มั่นใจในตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นผู้กำกับ นักแสดงคนอื่นๆ หรือทีมงาน ฉันจะตอบสนองความคาดหวังของทุกคนได้ไหม... นี่คงเป็นสิ่งที่ฉันรู้สึก
.
Q: ผมคิดว่าเหมือนกับตอนที่คุณอยู่ Keyakizaka46 ตอนนั้นคุณคงคิดประมาณว่า "ฉันจะแบกความรับผิดชอบไว้ได้แค่ไหน" และ "ฉันจะสู้เพื่อ Keyakizaka46 ได้แค่ไหน" ความคิดว่า “การเผชิญหน้าตัวเอง” น่าจะรุนแรงกว่า แต่ตอนนี้ น่าจะเป็นความคิดที่ว่า "ฉันต้องแบกรับความกังวลของคนมากมาย" และ "ฉันอยากตอบสนองความคาดหวังของคนรอบตัว" ที่มีอิทธิพลกว่า
H: ใช่ค่ะ คงเป็นอย่างนั้น ฉันฉุกคิดได้หลังคุณพูด จะว่ายังไงดี ส่วนตัวฉันชอบใช้เวลานานๆ กับการสร้างงานหนึ่งชิ้นและปรึกษาหารือกับทุกคนที่เกี่ยวข้อง แต่ในความเป็นจริง ฉันไม่สามารถมีสมาธิระหว่างการซ้อมหรือเตรียมงานได้ ฉันคิดว่าระหว่างการถ่ายทำจริง เพราะมีกล้องถ่ายอยู่และมีบรรยากาศเฉพาะตัวหรือบรรยากาศในกองถ่าย มันน่าสนใจมากกว่าที่จะมีสมาธิกับการแสดง ฉันเชื่อในสิ่งนี้มากขึ้นเมื่อเข้าสู่โลกภาพยนตร์ มันทำให้ฉันฉุกคิดได้ว่า "การสร้างสรรค์คืออะไรแบบนี้นี่เอง" ฉันคิดว่าฉันเข้าใจสักทีว่าทำไมถึงชอบการสร้างสรรค์มาก
.
Q: เพราะมันคือผลลัพธ์จากความพยายามของคนมากมาย
H: ใช่ค่ะ มีบ่อยครั้งที่ฉันได้เห็นกับตาหรือรู้สึกกับตัวเอง คงเป็นสาเหตุให้คิดแบบนั้น
.
Q: คุณรู้สึกกดดันในเรื่องไหนเป็นพิเศษ
H: มีค่ะ เยอะด้วย ทุกวันเลย (หัวเราะ) ภาพยนตร์กำลังจะถ่ายเสร็จ "การแสดงของบทบาทนั้นจบแล้ว" แม้ว่าฉันจะไม่เข้าใจถ่องแท้นัก ไม่มีทางที่ฉันจะถ่ายซ่อมได้ ฉันจะคิดว่า "ถ้าไม่มีปัญหาก็ไม่เป็นไร" แต่ที่จริง ฉันสังเกตว่าตั้งแต่เมื่อก่อนถ้าฉันอยู่คนเดียว ฉันจะฟุ้งซ่าน ฉันรู้สึกว่ามันไม่ถูกต้อง ฉันเลยถามผู้จัดการใกล้ๆ อยู่บ่อยๆ ว่า "คุณคิดว่ายังไง"
.
Q: เพราะมันเกี่ยวข้องกับคนมากมาย คุณเลยสงสัยปนหนักใจ: ฉันจะตอบสนองความคาดหวังของทุกคนได้ไหม ฉันจะเป็นตัวเองที่ทุกคนต้องการได้ไหม ถ้าคุณคิดแบบนี้ ก็จะไม่มีทางหนีความกังวลได้
H: ใช่ค่ะ ฉันเพิ่งคุยเรื่องนี้กับผู้จัดการ หลังคุยกันพักหนึ่ง ฉันก็คิดว่า "อืม ไม่มีทางหนีพ้นเลย" เป็นเพราะบุคลิกนิสัยของฉันเองล้วนๆ
.
Q: แม้ว่านี่เป็นเพียงความเข้าใจของผม ผมรู้สึกเสมอว่าฮิราเทะในอดีตเชื่อในการ "ทำความกังวลเหล่านี้ให้หมดสิ้นไป" เมื่อบางอย่างเกิดขึ้น คุณจะปล่อยวางทุกสิ่ง ในแง่นี้ รู้สึกเหมือนว่าฮิราเทะอยู่ในภาวะถูกเค้นจนถึงขีดจำกัดเสมอ มันทำให้ทุกคนเข้าใจว่าคุณได้ยอมรับมัน ประหนึ่งว่าความกังวลกับความกดดันที่คุณแบกรับกลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวัน ”ของคุณ” คุณคิดเห็นยังไง
H: ที่ผ่านมาฉันคิดว่าคงดีถ้าวันที่ไม่ต้องคิดเรื่องพวกนี้มาถึง... แต่เพราะบุคลิกของฉัน ฉันคิดว่า "ฉันเปลี่ยนมันไม่ได้"... ฉันรู้สึกเสมอว่าฉันพูดอะไรอย่าง "ฉันกังวลมาก" หรือ "อ๊า ประสาทกิน" กับหลายคนมาก แม้บางครั้งฉันจะสงสัยว่าคนอื่นจะได้ยินแล้วรำคาญไหม ฉันเป็นคนแบบนี้แหละ แน่นอน ยิ่งเป็นตอนที่สร้างสรรค์งานอะไรบางอย่าง ความรู้สึกแบบนี้จะเพิ่มขึ้นมาก และฉันสงสัยว่าจะผ่อนคลายได้ไหมหลังจบงาน
.
Q: สถานการณ์ที่คุณกังวลทุกครั้งเวลาที่สร้างงานดูจะเลี่ยงไม่ได้ อย่างไรก็ตาม ฮิราเทะกังวลเรื่องการ “มีชีวิต” บ้างไหม
H: อาาาา--- (หัวเราะ)
.
Q: สิ่งที่เรียกว่าการมีชีวิต บ่อยครั้งแม้แต่ตอนที่คุณรู้สึกอึดอัดเล็กน้อยและไม่รู้ว่าอะไรถูกต้อง คุณจะใช้ชีวิตต่อไปอย่างสับสน คุณมีความรู้สึกแบบนี้ตลอดไหม ที่คุณกังวลหรือรู้สึกว่ามีสิ่งที่เบี่ยงเบนสมาธิ ไม่ว่าจะในหรือนอกงานของคุณ
H: แน่นอนค่ะ ไม่ว่าจะในหรือนอกงานของฉัน ฉันครุ่นคิดเรื่องต่างๆ อยู่ตลอด
.
.
Q: เมื่อฉบับนี้วางจำหน่าย ผลงานที่คุณร่วมทำกับ Moriyama Naotaro คงออกอากาศแล้ว มันเป็นสิ่งที่อยากทำเองรึเปล่าครับ / การแสดงเพลง ikiteru koto ga tsurai nara (ถ้าชีวิตนั้นเจ็บปวด) ในรายการ FNS MUSIC FES 2020
H: ค่ะ ฉันชอบดนตรีมาก และรู้สึกเสมอว่าไม่อยากให้สีสันของดนตรีหายไปจากตัวเอง แล้วก็หลังจากฟังเพลงนี้ ฟังสิ่งที่โมริยามะซังต้องการจะสื่อ ฟังความเห็นของทีมงานสถานีทีวี สัญชาติญาณแรกของฉันคือ "นี่คือเพลงที่ต้องส่งออกไปเดี๋ยวนี้" และยังรู้สึกว่า "ฉันต้องเป็นคนสื่อสารเอง ฉันไม่ทำไม่ได้"
.
Q: อะไรทำให้คุณคิดว่า “ต้องเป็นฉัน”
H: ในสถานการณ์ตอนนี้ที่ไม่มีใครคาดคิด จะพูดยังไงดี... ฉันไม่ได้ยินข่าวดีเลยตั้งแต่เข้าปี 2020 ในสถานการณ์แบบนี้ เมื่อดูชื่อเพลง เนื้อเพลงและอื่นๆ อาจมีความรู้สึกที่หนักหน่วง แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่ฉันอยากสื่อ แค่ว่าจากการแสดงหลายๆ ชุด หากฉันแค่สื่อออกไปส่งๆ ว่าให้ "มีชีวิตต่อไป", "ยิ้มเข้าไว้", "มาผ่านอุปสรรคนี้ไปด้วยกัน" และอารมณ์อื่นๆ ฉันสงสัยว่า "คนที่เห็นเนื้อเพลงแล้วจะยอมรับได้เหรอ" เพราะมีคนหลายแบบที่รู้สึกถึงอารมณ์ต่างๆ ฉันจะใช้สถานะไหนเพื่อสื่อการแสดงที่เข้าถึงผู้ชมได้บ้าง ฉันจึงคิดว่าคงดีถ้าได้ใช้เวลาศึกษาทำความเข้าใจผู้ชม
.
Q: แปลว่าคุณไม่ได้มีทัศนคติอย่าง "ไม่ว่าฉันจะทำอะไร นี่คือตัวตนของฉัน" แต่ที่คิดว่า "ฉันควรทำอะไร ด้วยตัวตนของฉันตอนนี้"
H: ใช่ค่ะ ภาพยนตร์ รายการทีวี และเวที พวกเขาอาจมีรูปแบบแตกต่างกันออกไป ตัวอย่างเช่น เมื่อฉันแสดงเพลงหรือทำการแสดงสดที่ไม่สามารถหยุดเวลาได้ ฉันอาจต้องพิจารณาว่าอะไรจำเป็นในตอนนั้น ยังขาดอะไร ผู้คนต้องการอะไรอีก อะไรทำนองนั้น
.
Q: รู้สึกเหมือนว่าคุณอยาก "เติม" ความว่างเปล่าที่ไม่เพียงพอในยุคปัจจุบันให้เต็ม ที่จริงแล้วคุณอยากเป็นสิ่งที่ชดเชยความขาดแคลนนั้นเหรอ
H: เอ่อ... พูดยังไงดี... ฉันคิดว่ามันคงจะดีถ้าฉันสามารถเป็นกำลังใจให้ใครสักคนได้ไม่มากก็น้อย หรือมีส่วนในการสร้างโอกาสให้เกิดบางสิ่งขึ้นมาได้
.
Q: ความคิดนี้ไม่เคยเปลี่ยนจากคุณเลยใช่ไหม
H: ฉันคิดว่าไม่เคยเปลี่ยน ฉันรู้สึกว่าฉันจะรู้สึกแบบนี้ต่อไป
.
Q: แต่บางทีนะ สำหรับการแสดงของคุณหลังฉายเดี่ยว จะมีแนวโน้มเปลี่ยนความคิดนี้ไหม
H: ไม่ค่ะ ไม่ว่าจะตอนนี้หรือในอดีต มันจะไม่เปลี่ยน
.
Q: ฮิราเทะ คุณปิดบังความรู้สึกส่วนตัวมาตลอดจนตอนนี้ใช่ไหม
H: ค���ะ โดยเฉพาะตอนต้นปีนี้ แต่หลังไวรัสระบาดหลายอย่างเกิดความเปลี่ยนแปลง นี่จึงไม่ใช่เรื่องที่จำเป็นต้องกังวล
.
Q: ถึงหลายคนรู้ว่ายุคนี้ขาดอะไรบางอย่าง และรู้สึกว่า “โลก���ปลี่ยนไปแล้ว” หลายคนคิดว่า “เราทำอะไรไม่ได้” และใช้ชีวิตอย่างหมด��นทาง รวมถึงผมด้วย แต่ต่อให้เป็นเวลาแบบนี้ ฮิราเทะก็ไม่ยอมแพ้ใช่ไหม
H: ใช่ค่ะ แทนที่จะยอมแพ้ ฉันจะรู้สึกว่า “โลกเปลี่ยนไปเป็นแบบนี้แล้ว ฉันจะทำอะไรได้บ้าง”.
.
.
Q: ช่วงนี้คุณคิดเรื่องอะไรบ้าง
H: เอ่อ ฉันคิดว่าน่าจะหนึ่งสัปดาห์ก่อนช่วงกักตัวจบ ฉันได้ยินว่าฉันจะได้แสดงในเอ็มวี “WanteD! WanteD!” ของ Mrs.GREEN APPLE ฉันตกใจเพราะมันเป็นเพลงที่รู้จักและชอบมาก หลังรับงานนี้ ฉันพูดว่าเพราะไวรัส หลายคนจึงขาดแรงจูงใจเพราะไม่สามารถร่วมงานจบการศึกษาหรือพิธีปฐมนิเทศ ไม่สามารถพบคนที่อยากจะพบ และการยกเลิกโคชิเอ็ง เพราะแบบนี้ ฉันจึงอยากใช้งานนี้ทำให้คนสามารถมองไปข้างหน้าและสู้เพื่อสิ่งที่พวกเขาอยากทำ ฉันอยากส่งความคิดนี้ ไม่ใช่แค่ให้กับคนที่เจอหน้าแต่คนในทีมฉันด้วย / ว่าแต่ถามตรงๆ คุณคิดยังไงกับมิวสิควีดีโอนี้บ้าง
.
Q: เป็นความเละเทะที่วิเศษครับ
H: ฉันรู้สึกว่าไม่ได้ยินน้ำเสียงอำเล่นเลย (หัวเราะ)
.
Q: ถ้าให้อธิบายแบบแปลกๆ ผมคิดว่ามัน “เจ้าเล่ห์มาก” ที่ฮิราเตะปลดปล่อยพลังงานขนาดนั้น มันทรงพลังมาก
H: เอ๋~
.
Q: การแสดงของฮิราเตะยอดเยี่ยมตามคาด มันบริสุทธิ์มาก และผมคิดว่า “อา อย่างกับว่าฮิราเทะจะบอกว่า ‘ฉันแค่ทำงานของฉัน’”
H: ฮ่าๆๆๆ
.
Q: ผมคิดว่าคงไม่ใช่แบบ “อ๋อ นี่คือเหตุผลที่ฉันจะใส่ชุดนี้และเต้นไปตามท่วงท่านี้”
H: นั่นคือเหตุผล แม้ว่าท่าเต้นจะถูกออกแบบมาแล้ว แต่ที่ถูกใช้ส่วนใหญ่เป็นการคิดสดค่ะ (หัวเราะ)
.
Q: เหรอครับ...
H: ค่ะ ฉากส่วนใหญ่เป็นภาพฉันวิ่งไปอย่างอิสระ ฉันคิดว่า “หืม ฉันจำได้นะว่าเต้นตอนท่อนนี้…”
.
Q: คุณรู้สึกยังไงหลังจากการถ่ายทำมิวสิควีดีโอ
H: ก็ตามคาด ฉันได้ยินหลายคนพูดว่า... เนื่องจากฉันยิ้มอย่างสดใส เลยมีคนคิดว่า “ดีแล้วนะที่ออกจาก Keyakizaka46”, “ที่ยิ้มได้เพราะออกมาใช่ไหม” ความจริงแล้วมันเป็นเพราะเพลง การแสดงออกและการเคลื่อนไหวกำเนิดมาจากเพลง
ฉันจึงคิดว่า “ไม่เกี่ยวอะไรด้วยเลย” ฉันไม่เคยแสดงกับเพลงที่จังหวะเร็วแบบตะวันตกมาก่อน และเป็นครั้งแรกที่ฉันแสดงกับเพลงที่มีความหมายประชดนิดๆ จะพูดยังไงดี เพราะนี่เป็นสิ่งที่แปลกใหม่กับฉัน จึงเกิดการแสดงออกทุกแบบ ดังนั้นก็ต้องขอบคุณเพลงนี้ เดิมทีฉันชอบ Mrs.GREEN APPLE อยู่แล้ว ฉันไปดูพวกเขาแสดงหลายครั้งถ้ามีโอกาสและดูคลิปแสดงสด ฉันหลงใหลในพลังงานของเสียงนักร้องนำ โมคุง-Omori Motoki (ขอฉันเรียกเขาแบบนี้นะ) ก่อนจะทำอะไรฉันต้องทำด้วยความรู้สึกว่าจะไม่เสียพลังงานนี้ไป ควรเรียกว่าเป็นผลกระทบทวีคูณหรือความรู้สึกที่อยากทัดเทียมไหมนะ
เพราะฉะนั้น เอ็มวีนี้จึงเป็นโอกาส ฉันอ่านเนื้อเพลงอีกครั้งและฟังทั้งเพลงซ้ำ ฉันเป็นคนที่มีความสุขที่สุดแน่นอนในการร่วมงานนี้ ฉันฟังเพลงทันทีที่ปล่อยมา และได้รับกำลังใจมากมายจากมัน เนื้อเพลงโดนใจและทำให้อุทานว่า "เอ๊ะ มันรู้ถึงอารมณ์แบบนี้ได้ยังไง" ฉันได้เรียนรู้เกี่ยวกับอารมณ์ของเพลงมากขึ้น และโมคุงก็บอกว่าเขา "ร้องแบบประชด" ด้วย มันจะเยี่ยมมากถ้าได้แสดงออกถึงความรู้สึกล้อเลียนแบบนี้ ฉันรู้สึกกังวลนิดหน่อยเพราะมันเป็นการแสดงที่ไม่เคยทำ แต่ถ้าฉันถูกมองเป็นเด็กผู้หญิงในเพลง "WanteD! WanteD!" แทนที่จะเป็น "ฮิราเตะ ยูรินะ" ได้ก็จะดีใจมาก
มีความเปลี่ยนแปลงที่น่ารักมากและท่าเต้นน่ารักๆ ระหว่างกลางเพลง ซึ่งเข้ากับการแสดงแบบล้อเลียนได้ดีมาก ในท่อนบริดจ์ใกล้จบเพลง จะมีฉากที่ฉัน "ว้าก--" และวิ่งไปใช่ไหม ตอนที่ดูด้วยกัน ผู้จัดการถามว่า “เด็กนี่เป็นบ้าเหรอ” (หัวเราะ) ฉันมีความสุขมาก ฉันจะมีความสุขมากถ้าถูกมองเป็น "เด็กบ้า" ในนั้น เพราะส่วนตัวฉันรู้สึกว่าตัวเอกของเนื้อเพลง "WanteD! WanteD!" ต้องเป็นคนบ้าที่ไม่คิดอะไรเกี่ยวกับตัวเองหรือเรื่องอดีต พวกเขาแค่อยากหนีจากผู้ใหญ่และค้นหาอะไรบางอย่างอยู่ตลอด พูดง่ายๆคือ เราใช้การ "เย้--" แสดงอารมณ์กันใช่ไหม แต่ [พวกเขา] แสดงอารมณ์เหล่านี้อย่างอิสระกว่า! (หัวเราะ) เช่น "เย้ย์ย์ย์--!!" ตอนกระโดด กับ "ว้าก--" หน้าออกอารมณ์และมือทั้งสองข้างชูขึ้นแบบ "ย้าก--" ดังนั้นเลยมีคนตะโกนว่า "คนบ้า" (หัวเราะ) ฉันดีใจมากที่คิดว่ามัน "สามารถตีความแบบนี้ได้"
.
Q: เข้าใจล่ะ เจ๋งมาก ผมยังเห็นว่าตัวเอกเป็นเด็กที่มีเสน่ห์มาก
H: เอ๋---
.
Q: ถึงจะดูเป็นคนบ้าและบางครั้งก็ดื้อ ผมรู้สึกได้ถึงเสน่ห์ นี่ยังเป็นจุดแข็งของฮิราเทะด้วย แน่นอน มันเกี่ยวข้องกับความใกล้ชิดระหว่างฮิราเตะกับเพลง แต่ผมคิดว่าการแสดงถึงความสอดคล้องระหว่างภายนอกกับภายในนั้นละเอียดเพราะภาพของคุณชัดเจนมาก
H: เริ่มตรงไหนดี เราตั้งใจใช้ตัวคาตาคานะเขียนเนื้อเพลงและฉันอยากแสดงออกว่า “เด็กคนนั้นบ้า แต่ใช้ชีวิตอย่างราบรื่น” ได้ดี แล้วก็ ตอนใกล้จบคอรัส ท่อนที่ว่า “ไม่จำเป็นต้องสับสน ค่อยๆ ทำความเข้าใจไปก็ได้” ถ้าคุณฟังตามปกติจะตีความว่า “ไม่ต้องสับสน ค่อยๆ ทำความเข้าใจไปเถอะ” แต่ถ้าตั้งใจฟังดีๆ คุณจะสังเกตเห็น “?” ฉันจึงไม่คิดว่า (ตัวเอก) ก็จะเข้าใจ ฉันยังอยากสื่อไปให้ถูกต้อง เราคุยเรื่องท่อนนี้กันต่อเนื่อง ทุกอย่างขึ้นอยู่กับฉัน ในแง่ที่ดี เราสองคนคุยกับประมาณสี่ชั่วโมง ฉันดีใจที่เรื่องของฉันถูกพิจารณาอย่างละเอียด ฉันยังได้รับคำขอบคุณและแรงบันดาลใจมากมาย ต้องขอบคุณ Mrs.GREEN APPLE มากๆ คงดีมากถ้าเราได้ร่วมงานกันอีก
.
Q: แบบนี้เอง เมื่อฮิราเตะเลือกว่าจะรับงานไหน แทนที่จะจำท่าหรือเพลงที่ได้รับมาแล้วแสดงออกให้ดี คุณจะสนใจสิ่งสำคัญข้ออื่นๆ ก่อน อย่างอื่นที่ว่าอาจรวมถึงการที่คุณจะ “ทุ่มเทกายและใจ 100%” ได้หรือไม่
H: ฉันคิดแบบนั้นเลยค่ะ (หัวเราะ) ฉันอยากทุ่มเทให้กับงานและไม่ถอดใจกลางคัน ฉันอยากทำอะไรๆ ให้ชัดเจน ถ้าฉันจะทำก็จะทุ่มสุดตัว ถ้าทำแบบนั้นไม่ได้ก็ไม่รับ
.
Q: นี่คงเป็นส่วนหนึ่งของทัศนคติ แนวทาง หรือธรรมเนียมปฏิบัติในชีวิตของคุณสินะ
H: ฮ่าๆๆๆ แต่ถ้าฉันไม่เป็นแบบนี้ ก็จะเสียมารยาทต่อคนอื่นกับทีมเขา รวมถึงคนที่ร่วมงานกัน นี่เป็นแค่วิธีส่วนตัวของฉันในการทำสิ่งต่างๆ ไม่จำเป็นว่าจะต้องถูก ทุกคนมีเกณฑ์ของตัวเอง ถ้ามีวิธีอื่นฉันคงคิดว่า “บอกหน่อยเถอะ รีบๆบอกฉันหน่อย” (หัวเราะ)
.
Q: แต่น���าเสียดาย คุณอาจไม่มีวันรู้วิธีอื่นนั้น
H: จริงๆ... ฉันเข้าใจได้เร็ว หรือเข้าใจคนที่ถอดใจครึ่งทาง ฉันไม่อยากเป็นแบบนั้น
.
.
Q: มีเวลาไหนไหมที่จู่ๆ ก็รู้สึกว่า “อาจเป็นไปไม่ได้ที่จะทุ่มเทเต็มร้อยทั้งกายใจ”
H: มีแน่นอนค่ะ ฉันคิดว่านี่ก็เป็นปัจจัยความกังวลด้วย แม้ฉันปรารถนาจะทำบางอย่างและมีแรงจูงใจให้ทำ บ่อยครั้งก็จะกังวลว่า “กายและใจจะไหวหรือไม่”
Q: คุณหมายความว่ายังไงที่บอกว่าดูแลกายและใจ
H: อืม การดูแลแปลว่า...ยกตัวอย่าง เอ็มวี “WanteD! WanteD!” ถ่ายทำกันก่อน จากนั้นห้าวันให้หลัง ภาพยนตร์ก็กลับมาถ่ายต่อ สิ่งแรกที่ฉันต้องทำคือเปลี่ยนทรงผม และสองวันต่อมาก็กลับไปถ่าย แต่วันที่กลับไป ฉันต้องถ่ายฉากสำคัญของเรื่อง มันใกล้กับการถ่าย “WanteD! WanteD!” มากฉันเลยกังวล “ถึงฉันจะสื่อมันให้ดีที่สุด ก็ยังมีบางส่วนที่ฉันไม่เข้าใจจริงๆ” จำได้ว่าฉันโทรหาผู้จัดการทุกคืน (หัวเราะ)
.
Q: ส่วนไหนที่ไม่เข้าใจเหรอ
H: ตัวอย่างเช่น “ฉันจะสื่ออารมณ์ตัวละครนี้ได้ถูกไหม” หรือ “ฉันจะสื่องานชิ้นนี้ได้ถูกไหม” และ “ต่อให้ทุกอย่างออกมาดี ฉันสร้างปัญหาให้ใครรึเปล่า” ฉันกังวลเรื่องแบบนี้ประจำ และสงสัยว่า “ฉันควรทำยังไง”
.
Q: ความกังวลและการขาดความมั่นใจนี้ดูจะเชื่อมโยงกับธรรมเนียมและแนวทางการ "ทุ่มเทเต็มร้อย" ของคุณไหม
H: อา ฉันคิดว่าถ้าจะทำอะไรบางอย่าง ฉันต้องทำให้ถูกต้องและไม่ควรมีความคิดจะล้มเลิกกลางคัน เมื่อก่อนฉันเป็นแบบนี้จริงๆ...
.
Q: ห่างกันไม่กี่วันใช่ไหม ประมาณสี่วันหลังถ่ายทำ "WanteD! WanteD!" ฮิราเทะก็กลับไปถ่าย "The Fable" นี่คงเป็นช่วงที่สำคัญมากของคุณ คุณรับมือกับมันยังไงบ้าง
H: ฉันจำไม่ได้ว่าเกิดอะไรในวันถ่ายทำ (หัวเราะ) จริงๆ จำไม่ได้เลย คงเพราะมีสมาธิมาก แต่ที่แน่ๆ ความต้องการ "อยากจะสื่อสารออกไป" ไม่ได้เปลี่ยน เหมือนที่ฉันบอก ฉันได้คุยล่วงหน้ากับสมาชิก Mrs.GREEN APPLE ผ่านโปรแกรม ZOOM เนื่องจากเราตัดสินใจจะทำ เมื่อถ่ายจบจริงๆ ฉันต้องแบกรับเจตนารมณ์ของผู้ถ่ายทอด แม้จะมีความกดดันที่เพิ่มมา ฉันก็ไม่อยากประนีประนอมกับใคร และไม่อยากประนีประนอมกับตัวเอง... ด้วยเหตุผลบางอย่าง ฉันจำไม่ได้ว่ากลับบ้านได้ยังไง
.
Q: นี่คุณจำไม่ได้เลยเหรอ
H: ระหว่างถ่ายทำ มีรูปถ่ายของฉันที่กำลังนอนพักอยู่ "มีเตียงแบบนั้นด้วยเหรอ" ฉันจำอะไรแบบนี้ไม่ได้เลย (หัวเราะ) นอกจากนี้ ยังมีรูปถ่ายฉันกินราเม็งในจุดพักรถ ทำให้ฉันคิดว่า "อ๋า ฉันกินไอ้นี่เอง"
.
Q: เดี๋ยวนะ คุณจำไม่ได้จริงเหรอ
H: ฉันจำไม่ได้ (หัวเราะ) อะไรอีกนะ “ViVi” มั้ง (ผู้จัดการ: วันถัดไปเป็นการอัดเสียงเพิ่มของ “The Night Beyond the Tricornered Window”)
Q: อันนั้นคุณก็จำไม่ได้ด้วยเหรอ
H: ฉันจำได้นิดหน่อยเกี่ยวกับการอัดเสียงเพิ่ม หลังจาก “WanteD! WanteD!” ฉันต้องเป็น Hiura Erika จาก “The Night Beyond the Tricornered Window” ฉันสงสัยว่าจะทำได้ไหมนะ (หัวเราะ) แต่คนในทีมรู้จักฉันดีมาก ดังนั้นแม้พวกเขาต้องพิจารณาหลายเรื่องของผู้ใหญ่ ไม่ให้ภาระตกที่ฉันมากไป พวกเขาบอกว่า “ไว้ค่อยคิดทีหลังก็ได้”
.
Q: คุณทำได้สำเร็จด้วยดี?
H: ค่ะ แต่เป็นครั้งแรกที่ฉันอัดเสียงเพิ่ม เลยไม่แน่ใจว่าต้องทำอะไร สถานที่จริงเหมือนห้องอัดขนาดใหญ่ ฉันสงสัย "ฉันต้องทำอะไรที่นี่" ถึงจำได้ว่าลำบากอยู่นิดหน่อย แต่ความสัมพันธ์กับผู้กำกับการแสดงของฉันพัฒนาขึ้น ฉันได้คำแนะนำมากมายและได้ทุกคนจากทีม "The Night Beyond the Tricornered Window" ช่วยเหลือจนสำเร็จ
จากนั้นฉันไปถ่ายงานลงนิตยสาร "ViVi" ถึงจะไม่ต้องพูดกันและทางหนังสือเตรียมเสื้อผ้าไว้แล้ว ฉันก็ยังสงสัย "ถ้าฉันทำงานในสภาพอ่อนล้าแบบนี้จะดีไหมนะ" ในตอนนั้น ต้องขอบคุณทีมงาน "ViVi" กับทีมช่างแต่งหน้าและผู้จัดการที่อยู่ด้วย ด้วยบรรยากาศในตอนนั้นกับความช่วยเหลือจากคนอื่น ฉันจึงรู้สึกว่าได้ทำทุกอย่างเสร็จสมบูรณ์ ต่อมา ฉันไปร้านเสริมสวยตอนที่ไว้ผมทรง "The Fable”...
.
Q: ในช่วงนั้น คุณรู้สึกสับสนเรื่องไหนบ้างไหม
H: อา มันวุ่นวายอยู่แล้วไม่ใช่เหรอคะ (หัวเราะ) ฉันจำไม่ค่อยได้... แต่ฉันรู้สึกตลอดว่านี่ไม่ใช่เรื่องน่ารำคาญ และรู้สึกแรงกล้าว่า "ฉันต้องทำ" เราถ่ายปกนิตยสาร "ViVi" กันหลังปล่อยเอ็มวี "WanteD! WanteD!" และมีการโปรโมทเอ็มวีด้วยเล็กน้อย ฉันเสนอเองว่า "ทำผมทรงนี้ดีกว่าไหม" ถ้าฉันรู้สึกว่าไม่อยากถ่ายทอด "WanteD! WanteD!" ก็คงรักษาอารมณ์บวกแบบนั้นไว้ไม่ได้ ฉันไม่รู้ว่าความรู้สึก "อยากถ่ายทอดมัน" เริ่มมาจากไหน แต่นั่นคือสิ่งที่ฉันทำ
.
Q: ทำไมคุณถึงสนใจช่วงสองสามวันนั้นเสียมากมาย คุณเพิ่งบอกว่า "มันวุ่นวายอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ" แต่ถึงคุณจะตื่นตระหนก คุณก็ยังพยายามเดินหน้าต่อ มันเป็นประสบการณ์ใหม่ของคุณไม่ใช่เหรอ
H: ไม่ค่ะ มันวุ่นวายแบบนี้อยู่แล้ว (หัวเราะ)
.
.
Q: ก่อนหน้านี้ แม้จะตื่นตระหนก คุณก็ยังปรากฏตัวต่อหน้าผู้คน แต่ตอนนี้ ถึงจะยังตื่นตระหนก คุณยอมรับบางอย่างในใจก่อนทำอะไรไม่ใช่เหรอ
H: อ่า นั่นอาจจะจริง แม้ว่านั่นเป็นเหตุผลหนึ่ง ตามที่คาดว่าก็เป็นเพราะคนรอบตัวฉัน ฉันจึงคิดว่า แทนที่จะบอกว่าฉันเปลี่ยนไป แต่เป็นเพราะสิ่งแวดล้อมเปลี่ยนไม่ใช่เหรอ เหมือนกับสิ่งแวดล้อม ทีมงานรอบตัว ไม่ใช่เพราะความช่วยเหลือจากคนที่รายล้อมหรอกเหรอ
.
Q: คุณเป็นคนตรงไปตรงมาไหมเมื่อมีคนอื่นอยู่ด้วย คุณอาจยอมรับตัวเองมากขึ้น
H: เอ่อ พูดยังไงดี... ไม่ใช่เพราะมีคนเข้าใจฉันมากขึ้นหรอกเหรอ ฉันคิดแบบนั้นนะ
.
Q: ส่วนไหนของคุณที่คิดว่าสิ่งนี้คนอื่นเข้าใจถูกแล้ว
H: ตอบยากมากเลย-- (หัวเราะ) เอ— อะไรนะ... ฉันคิดว่าเนื่องจากฉันเป็นคนแบบนี้ ก็คงทำให้คนมองไม่ดี "เธอดูน่ากลัวนะ", "เธอจะคุยกับฉันไหม" คงมีหลายคนที่มองฉันในด้านลบเป็นปกติ ก็พูดไม่ได้หรอกว่ามีเหตุผลเดียว ถึงจะไม่เป็นไรก็ตาม มันแค่เป็นเพราะ "ตอนนี้ฉันคิดได้แค่การถ่ายทอดงานชิ้นนี้" ฉันไม่คาดหวังว่าจะสร้างความสัมพันธ์ที่ดี หรือสามารถต่อการสนทนาได้ แต่เมื่อคนอื่นเห็นการกระทำและท่าทีของฉัน และคิดว่าฉัน "ถือว่างานเป็นสิ่งสำคัญที่สุด" ฉันจะดีใจมาก
.
Q: แบบนี้เอง
H: ที่จริง ฉันใช้เวลานานมากกว่าจะเปิดใจกับคนอื่นได้ บางคนอาจทำได้เร็ว แต่กับคนที่ใช้เวลาก็ต้องใช้เวลา แต่เมื่อฉันเปิดใจ ฉันสามารถแสดงความรู้สึกได้มากและฉันอาจรับมือยาก มนุษย์นี่มันน่ารำคาญจริงๆ นะ (หัวเราะ)
.
Q: แน่นอน แต่ถึงแบบนั้นเหตุผลข้อหนึ่งคือคุณรู้สึกว่าคนรอบตัวเข้าใจคุณ
H: ไม่ค่ะ มันเป็นเพราะฉันได้รับความช่วยจากทุกคนรอบตัวมากไป แค่นี้จริงๆ (หัวเราะ)
.
Q: งั้นเหรอครับ (หัวเราะ)
H: มันไม่ชัดเจนว่าถึงระดับของการเข้าใจรึยัง มันเหมือนการถูกมองว่าเป็นมนุษย์มากกว่า (หัวเราะ)
.
Q: ช่วยอธิบายละเอียดกว่านี้ได้ไหม
H: เอ--อะไรนะ แค่ปกติ--แม้ว่าฉันรู้สึกเหมือนเอเลี่ยนตลอดเวลา (หัวเราะ) จะการคุยกับฉันหรือเรียกชื่อฉัน แค่มีคนทักทายฉันก็ดีใจมากแล้ว (หัวเราะ) ดังนั้น แค่ทำแบบนี้ก็มีความสุขและขอบคุณมากแล้ว
.
Q: คุณรู้สึกว่า "แค่นี้พอแล้ว” งั้นเหรอ
H: เอ่อ... เช่น "อ๊า มีคนเรียกชื่อฉัน", "อ๊ะ เราเจอกันแบบปกติ" ว่ากันไป ฉันก็รู้สึกซึ้งใจแล้วถ้ามีคนคุยกับฉัน
..
.
Q: แบบนี้เอง คุณพูดว่าไม่มั่นใจในตัวเอง ผมคิดว่าความยากในการมั่นใจในตัวเองคือปัญหาใหญ่ที่สุดในชีวิตของคุณใช่ไหม
H: คือฉันไม่เพียงแต่คิดแบบนี้ ฉันยังคิดว่าฉันไม่มีอะไรควรค่าให้ยกย่อง ถึงอย่างนั้น ก็มีบางครั้งที่ฉันถูกชมและได้ยินว่า "เธอทำได้ดีมาก" หรือ "ฮิราเทะดูดีนะ" บอกตรงๆ ณ ตอนนี้ฉันยังยอมรับมันไม่ได้ กลับกันฉันคิดว่า “จริงเหรอ”... ฉันขอโทษทุกคนที่จริงใจกับฉัน แต่ฉันเป็นคนแบบนั้นจริงๆ
มีครั้งนึง อากิโมโตะซังโกรธที่ฉันคิดแบบนี้ ฉันเลยได้แต่พูดว่า "ฉันเสียใจ" กับ "ฉันขอโทษ" อากิโมโตะซังติเตียนและบอกว่าความคิดแบบนั้นถือว่าเสียมารยาทกับคนอื่น ต่อไปอย่าคิดแบบนี้อีก มันเกิดขึ้นตอนต้นปีนี้ ตอนนั้นฉันตอบว่า "จริงของคุณ ฉันเสียใจ" แต่ฉันไม่ได้เปลี่ยนไปจริงๆ หรอก ตอนนี้ก็ยังคิดเหมือนเดิม (หัวเราะ)
.
Q: รู้ไหมว่าทำไมตัวคิดแบบนี้
H: คงเพราะฉันแสดงได้ไม่ดี แม้บ่อยครั้งฉันคิดถึงการแสดงให้ดีกว่านี้ ทำให้ได้ตามที่ทุกคนคาดหวัง และทำงานหนัก แต่ทุกครั้งผลลัพธ์คือฉันไม่เคยพอใจกับตัวเอง
.
Q: แต่ถ้าคุณประนีประนอมกับตัวเองก่อน ก็คงไม่มีทางไปได้ไกลกว่านี้ไหม
H: อ้า จริงด้วย ผู้สร้างสรรค์ไม่ใช่คนแรกที่ยอมรับงานของตัวเองแน่นอน พวกเขาถึงได้คิดแต่ว่า "ทำงานให้หนักขึ้นคราวหน้า" กับ "คราวหน้าฉันควรทำแบบนี้ให้มากขึ้น" แน่นอนฉันก็ถูกสอนว่า "อย่าตั้งเป้าหมายที่การทำคะแนนเต็ม" แม้ว่าบางครั้งฉันก็ยังคิดแบบนั้น
.
Q: ทุกคนจะมีความคิดแบบว่า “ฉันคิดว่าฉันทำได้ดีและทุ่มเทมาก ผลลัพธ์จะเป็นยังไงก็ช่าง" เพราะคุณพยายามแล้วเลยจะประเมินตัวเองในแง่บวก
H: อ๊ะ ฉันไม่เคยคิดแบบนี้มาก่อนเลย ฉันไม่ค่อยเข้าใจแนวคิดแบบนี้ (หัวเราะ)
.
Q: พูดให้ตรงกว่านี้ สำหรับคุณคงเป็นแบบว่า "ฉันไม่อยากจะเข้าใจมัน"
H: ใช่ค่ะ เมื่อคุณรู้อะไรบางอย่าง มันจะไม่น่าสนใจ... แต่ในอีกด้านหนึ่ง มันอาจต่างไปถ้าคุณรู้ว่าคุณสามารถมองเห็นโลกที่ต่างไปในอนาคต ฉันแค่ทบทวนตัวเองทุกครั้ง อาจมีคนที่สามารถเปลี่ยนตัวเองได้ทันที—คนแบบนั้นอาจมีอยู่จริง พวกเขาอาจจินตนาการได้ชัดเจนว่า "ครั้งหน้าฉันอยากลองแบบนี้"
.
Q: คุณอยากเป็นคนที่เห็นมองอนาคตไหม
H: ฉันไม่สนใจอะไรแบบนั้น (หัวเราะ) ที่จริงฉันรู้สึกขอบคุณมากกว่าที่ได้ร่วมงานกับคนมากมายในอดีตและได้ทำหลายๆ อย่างด้วยกัน ไม่เพียงแต่ได้พบศิลปินเยอะแยะ แต่ยังมีทีมงานอีกมาก ฉันเรียนรู้จากพวกเขาหลายอย่าง ยกตัวอย่าง ถ้าคุณเป็นผู้กำกับ การอยู่แค่ข้างหลังน่ะไม่พอ คุณต้องคิดถึง “ก้าวต่อไป” ด้วยตัวเอง ถ้าคุณคิดแบบนี้ ไม่แน่ผู้กำกับจะอยากใส่อารมณ์ในทุกช็อต เหตุการณ์เล็กๆ เช่นพระอาทิตย์ตกตอนถ่ายทำ ฉันคิดว่าการมีคนที่คิดถึงก้าวต่อไปเป็นสิ่งที่จำเป็น
.
Q: คุณเ��ยคิดว่าไม่สามารถทนต่อความรับผิดชอบแบบนี้ได้ตอนนี้
H: ค่ะ ใช่...
.
Q: โดยสรุป คุณจะยังค่อยๆ ยอมรับความเจ็บปวดแบบนี้กับรู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงนี้เองไหม
H: คืออากิโมโตะซังพูดหลายอย่างกับฉันเสมอตั้งแต่เมื่อก่อน เขาบอกว่าฉันต้อง "ชินกับความโดดเดี่ยว" และ "สนุกกับความโดดเดี่ยว" เพราะเขาพูดแบบนี้กับฉันบ่อย มันก็อาจทำอะไรไม่ได้แล้ว
.
Q: งั้นตอนนี้คุณเข้าใจมากขึ้นหรือน้อยลงว่าทำไมเขาถึงเอาแต่บอกให้คุณ "ชินกับความโดดเดี่ยว" และ "สนุกกับความโดดเดี่ยว"
H: แปลว่าฉันโดดเดี่ยวเหรอ (หัวเราะ)
.
Q: คง "เพราะดูแล้วคุณเป็นคนแบบนั้น"
H: ฮ่าๆๆ ยังไงก็ตาม มันจริงที่ฉันไม่เคยคิดแนวๆ ว่า "มีคนอยู่เคียงข้างฉัน", "มีคนให้กำลังใจฉัน" และ "ทุกอย่างจะดีถ้ามีคนนั้นอยู่" ตรงกันข้าม ฉันสงสัยว่า “ทำไมฉันถึงโดดเดี่ยวโดยไม่รู้ตัว" ฉันยังเสียใจว่า "ฉันเป็นแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่"
.
Q: "ความโดดเดี่ยว" ที่พูดถึงก่อนหน้านี้เป็นเรื่องปกติในสมัยนี้ และสามารถตีความได้ว่าเป็นการบ่นตัวเองได้ว่า "ทำไมคนอื่นไม่เข้าใจฉัน" แต่ความโดดเดี่ยวของคุณน่าจะเป็นความโดดเดี่ยวจริงๆ มากกว่า
H: เอ๋~ ไม่รู้เลย (หัวเราะ) แน่ค่ะถ้าเป็นแบบที่คุณว่า ทุกคนก็โดดเดี่ยว ฉันก็คิดแบบนั้น มีความโดดเดี่ยวแบบไหนที่โดดเดี่ยวกว่านี้อีกเหรอ (หัวเราะ)
.
Q: ที่จริงมันคือถ้าคุณปกป้องตัวเองไม่ได้ คุณจะไม่มีทางรักตัวเองได้
H: “รักตัวเอง” เหรอ
.
Q: แปลว่าคุณไม่มีความต้องการจะรักหรือเห็นคุณค่าของตัวเอง
H: การรักตัวเอง (หัวเราะ) เอ ฉันรู้สึกเหมือนเคยเห็น “คุณต้องรักตัวเอง” หรืออะไรสักอย่าง เอ การรักตัวเองนี่จำเป็นเหรอคะ
.
Q: ดูเหมือนฮิราเตะจะไม่จำเป็นต้องมีสิ่งนี้ (หัวเราะ)
H: ฮ่าๆๆ
.
Q: คนโดดเดี่ยวที่จริงอยากให้คนอื่นรัก พวกเขาพูดว่า "ทำไมไม่มีใครเข้าใจฉัน" แต่ก็ยังคิดว่า "กะแล้ว มีแต่ฉันที่เข้าใจฉัน" ในกรณีของ คุณอาจคิดว่า "ฉันจะรู้ได้ไง ฉันยังไม่รู้เลยว่าตัวเองคิดยังไง"
H: อา ในใจฉันอาจยอมแพ้ไปแล้วก็ได้ (หัวเราะ) ฉันอาจจะตัดสินใจไปเองแล้วระหว่างคิดว่า "ฉันไม่ต้องทำให้ทุกคนเข้าใจหรอก"
.
Q: แต่คุณก็ยังทำงานหนัก เพื่อตอบสนองความคาดหวังของทุกคน
H: เอ่อ... นี่อาจนอกเรื่องได้ ความสามารถในการแสดงออกของฉันอ่อนมาก เหมือนภาษาหรือการพูด ถ้ามีคนดูแลฉันและฉันเชื่อใจเขา ก็อาจจะไม่เป็นไร แต่ว่ากันง่ายๆ ฉันยังไม่เข้าใจถ่องแท้ว่าฉันอยากสื่อสารอะไรด้วยภาษา เพราะแบบนี้ ฉันคิดว่าคงดีถ้าสื่อความคิดด้วยงาน ฉันไม่ถนัดเขียนบล็อกหรือเ��่นโซเชียล ดังนั้นงานจึงสะดวกกว่า ฉันไม่อยากอธิบายอะไรละเอียดมาก ฉันแค่หวังว่าคนที่เห็นงานฉันจะยอมรับความรู้สึกของฉันได้
.
Q: ศาสนาพุทธมีชาดกเล่าว่ามีชายชราหมดสติกลางถนนด้วยความหิว เหล่าสัตว์นำอาหารมาให้และล้อมชายชราไว้ สุนัขจิ้งจอกคาบผลไม้จากต้นไม้ หมีนำปลาที่จับได้มาให้ กระต่ายมามือเปล่า มันเก็บกิ่งไม้มาก่อกองไฟแล้วโดดเข้าไป บอกว่า "กินฉันเถอะ"
H: เอ๋----
.
Q: ผมรู้สึกว่ามีบางอย่างที่เหมือนกับคุณ
H: ฮ่าๆๆๆ จะบอกว่าไม่จริงก็ไม่ได้ (หัวเราะ) แต่จะว่ายังไงดี ฉันคิดว่า "ทุกคนมีความคิดของตัวเอง" บางครั้งฉันคิดว่า "คุณไม่ต้องสนใจความคิดของคนอื่นมากนัก" ดังนั้น "ยังไงก็ตาม ไปดูงานของฉันก่อน”
.
.
Q: สำหรับฮิราเทะที่อายุครบ 19 ปีนี้ "การแสดง" คืออะไร
H: …เนื่องจากฉันมีตัวตนอยู่ในโลกนี้…จึงจำเป็นต้องแสดงถึงการมีอยู่บางอย่างในคนอื่นรู้… ฉันรู้สึกว่ามันเป็นสิ่งที่ต้องสื่อสารแก่ทุกคน
.
Q: ความหมายของการแสดงสำหรับคุณเกี่ยวกับการสื่อสารต่อผู้ชมมากกว่าความพอใจส่วนตัวงั้นเหรอ
H: ค่ะ ยังไงเสีย ฉันมีหลายอย่างที่อยากแสดงออก ถึงอย่างนั้น มันก็ทำยาก หรือพูดอีกอย่างคือฉันไม่เก่ง แล้วก็บางครั้งฉันถอยหนึ่งก้าวและคิดว่ามันดีกว่าถ้าฉันไม่อธิบายเยอะเกินไปและไม่แสดงอารมณ์ที่อยากแสดงจนสุด
.
Q: คุณอายุครบ 19 ในปีนี้
H: ค่ะ แม้ว่าจะไม่รู้สึกแบบนั้นเลย
.
Q: รู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงอะไรบ้างไหมหลังอายุ 19
H: ไม่เลยค่ะ (หัวเราะ) ไม่มีอะไรเปลี่ยนเลย ภายในไม่มีอะไรเปลี่ยนและยังโดนคนในทีมเรียกว่า "เด็กห้าขวบ" เหมือนเดิม ฉันไม่เข้าใจการเติบโตและไม่มีอะไรที่ต่างไปเป็นพิเศษ ก็เลยไม่รู้สึกว่ามีอะไรเปลี่ยน เต็มที่ก็รู้สึกว่า “สุดท้ายแล้ว อายุก็ไม่ได้สำคัญขนาดนั้น” ไม่ใช่แค่กับตัวเอง ฉันยังไม่ได้ใส่ใจอายุเวลาปฏิสัมพันธ์กับคนรอบตัว แน่นอนว่ามีทั้งข้อดีและข้อเสีย
.
Q: ครั้งที่ถูกสัมภาษณ์ตอนอายุ 15 คุณบอกว่า "ตัวฉันในปัจจุบันมีตัวตนอยู่แค่ในปัจจุบัน ดังนั้นโปรดมองฉันในตอนนี้ให้ชัด ฉันจะไม่มีทางแสดงออกแบบนี้ได้อีกตอนอายุ 16, 17 หรือ 18 ปี" ตอนที่ผมได้ยิน ผมรู้สึกว่าคำพูดเด็กคนนี้ช่างคมคาย ให้นึกย้อนถึงความรู้สึกในตอนนั้น แล้วตอนนี้คุณรู้สึกยังไง
H: ตอนนี้ก็เหมือนเดิม จริงไหมคะ (หัวเราะ)
.
Q: ฮิราเทะที่อายุ 19 จะพูดว่าอะไร
H: เอ๊ะ ในชีวิตนี้ ฉันอายุ 19 แค่ตอนนี้ ดังนั้น... ว่าแต่สำหรับหน้าใหม่แล้วถือว่ากล้ามากนะ อายุแค่ 15 แต่ฉันก็พูดว่า "โปรดมองฉันให้ชัด" ต้องมีแฟนคลับกี่คนกันถึงพูดอวดดีแบบนั้นได้ (หัวเราะ)
.
Q: แต่มันก็เหมือนสิ่งที่คุณน่าจะพูดนะ (หัวเราะ)
H: ฮ่าๆๆ แต่ตอนนี้ฉันไม่มีใครให้พูดว่า “โปรดมองฉันให้ชัด” ด้วย ฉันพูดอะไรอวดดีแบบนั้นไม่ได้หรอกค่ะ (หัวเราะ)
Q: แล้วตอนนี้พูดแบบนั้นไม่ได้แล้วเหรอ
H: เอ่อ... ใช่ค่ะ ตอนนั้นฉันมั่นใจมากกว่าตอนนี้ (หัวเราะ) พูดยังไงดี ฉันพูดแบบนั้นเพราะฉันมั่นใจมาก หรืออาจตรงกันข้าม ฉันพูดไปเพราะไม่มั่นใจเลย ก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน ฉันไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับตัวเองในอนาคต เช่นไม่รู้จะทำงานใหญ่ๆ สำเร็จไหม แต่ตอนนี้ฉันทำนายไม่ได้ ฉันเลยพูดอะไรแบบ “โปรดรอฉันนะ” ไม่ได้
.
Q: แน่นอน ตอนนี้ไม่สำคัญว่าคุณจะไปไหน
H: ฮ่าๆๆๆ
.
Q: ยังไงเสีย ตอนนี้คุณเป็นอิสระแล้ว
H: อ๊ะ อีกอย่าง อายุ 19 แล้ว ฉันสามารถไปสอบใบขับขี่ได้ แต่ไม่มีใครยอมให้ฉันสอบ ทุกคนบอกว่า "น่ากลัวชัวร์ๆ"
.
Q: คุณอยากสอบเหรอ
H: ค่ะ ฉันชอบความคิดที่จะขับรถเอง รถส่วนตัวจะเป็นพื้นที่ที่เป็นของฉันคนเดียว ใช่ไหม? ฟังเพลงแล้วออกเดินทางโดยไม่วางแผน แต่ฉันรู้สึกว่าถ้าพูดออกไปจะยิ่งโดนปฏิเสธหนักกว่าเดิม (หัวเราะ) นี่คงเป็นสิ่งที่เปลี่ยนหลังอายุ 19 ถ้าฉันมีรถ ฉันจะไปไหนก็ได้ ถึงตอนนี้ไม่มีรถก็ไปไหนก็ได้เหมือนกันก็เถอะ (หัวเราะ)
.
.
Q: การสัมภาษณ์วันนี้ใกล้จบแล้ว ฮิราเทะ ยูรินะสมัยอยู่ Keyakizaka46 แน่นอนว่าเธอแบกรับอะไรหลายอย่าง คุณต้องถ่ายทอดสิ่งที่วงอยากแสดงและสิ่งที่ถูกคาดหวังจาก Keyakizaka46 ดังนั้นเลยมีช่วงการสัมภาษณ์ที่คุณตอบว่า "ฉันต้องตอบแทน Keyakizaka46"
H: ใช่ค่ะ
.
Q: คุณยังมีความคิดเหมือนกับตอนนั้นไหม
H: ที่จริง คนจากที่ต่างๆ เช่นทีมงานมักบอกฉันว่า "ถ้าออกจากเคยากิจะได้ปลดภาระออกไป" และ "ฉายเดี่ยวแล้วจะง่ายกว่ามากนะ" ฉันยังสงสัยว่า "ออกแล้วภาระจะเบาลงสักนิดไหมนะ" แต่ความจริงแล้วตรงกันข้าม
.
Q: ตรงกันข้ามคือยังไง
H: จากที่ฉันพูดไป ฉันยังไม่ได้ปล่อยสิ่งที่แบกรับไว้ แม้แต่ตอนนี้
.
Q: คุณไม่ได้ปล่อย แล้วไม่คิดจะปล่อยเหรอ
H: จะพูดยังไงดี หลังถูกบอกว่า "ภาระหายไปแล้ว", "แรงกดดันมหาศาลเลยนะ", "เธอทำงานมาหนักมาก" เป็นต้น ฉันก็ยังลังเล โดยเฉพาะคำเห็นใจเช่น "เป็นอย่างที่เธอพูดจริงๆ”, "ก่อนหน้านี้มันยากมาก" และความรู้สึกว่า "ตอนนี้มันง่ายมาก" ไม่ได้เกิดขึ้นในใจฉันเลย นี่คงเป็นความรู้สึกของฉัน
.
Q: จะมีคนที่เข้าใจคุณเสมอ แน่นอน
H: จะมีเหรอคะ มันอาจไม่เกี่ยวกับสิ่งที่ฉันเพิ่งพูดไป แต่เพราะแบบนี้ ที่จริงฉันรู้สึกว่าความคิดฉันไม่น่าจะเข้าใจได้ ตอนนี้ก็ยังยาก... ที่จริง ความคิดที่มีเสมอมาคือ "แน่นอนว่ามันยังอยู่"
.
Q: คำถามต่อไปอาจตอบไม่ง่าย เดิมที Keyakizaka46 ไม่ใช่ภาระของคุณ ใช่ไหม จากการสนทนาเมื่อกี้ ผมเริ่มจะคิดว่าคุณเชื่อว่าชีวิตไม่ใช่เรื่องง่าย คนที่พูดได้ว่า "เดิมทีมันไม่มีอะไร" ในบทสัมภาษณ์ 20,000 ตัวอักษรคงมีเพียงฮิราเทะเท่านั้น ดังนั้นตั้งแต่ตอนที่คุณเข้า Keyakizaka46 จนถึงออกจากวง คุณยังไม่ได้ปลดภาระในตอนแรกเริ่มใช่ไหม
H: อา มันมีความหมายแบบนี้นิดนึงด้วย
.
Q: สิ่งที่เรียกว่าภาระมันไม่เปลี่ยนเลยเหรอ ความรู้สึกว่า "นี่ไม่ได้เกิดจาก Keyakizaka46 แต่เป็นภาระที่เป็นของฉันตั้งแต่แรก" มีส่วนไหนที่คุณยอมรับแล้วบ้าง
H: ตอนที่เป็นสมาชิกของ Keyakizaka46 มีหลายอย่างที่ฉันต้องคิดหรือต้องทน แต่เป็นอย่างที่คุณว่ามากกว่า ฉันแบกรับ ภาระของตัวเองตั้งแต่แรก ระหว่างนั้นก็ค่อยๆ หนักขึ้น หรือบางที ตอนนี้ฉันสงสัยว่าเดิมทีมันหนักแบบนี้รึเปล่า
.
Q: นอกจากนี้ วันที่ 4 กันยายน ภาพยนตร์���ารคดี “Our Lies and Truth” จะเริ่มเข้าโรง สารคดีนี้อาจเป็นโอกาสเห็นฮิราเทะเป็นส่วนหนึ่งของ Keyakizaka46 เป็นครั้งสุดท้าย
H: ใช่ค่ะ สำหรับสารคดีเรื่องนี้ ฉันเคยคิดว่า “ถ้าถูกสัมภาษณ์เรื่องนี้ ฉันจะพูดตามที่คิด” ขอโทษนะคะ ขอฉันใช้การสัมภาษณ์นี้เป็นโอกาสพูดได้ไหม
.
Q: แน่นอนครับ
H: ถ้าให้ว่ากันตรงๆ ฉันไม่ได้พูดสักคำในงานชิ้นนี้ เนื่องจากมันบันทึกช่วงเวลาสมัยที่ฉันเป็นสมาชิก Keyakizaka46 ก็จะได้เห็นการร้องเพลงและการแสดง รวมถึงคำพูดและการกระทำของฉัน ฉันคิดว่าคงทำให้เกิดความเห็นหลากหลาย ถึงอย่างนั้น หวังว่าจะไม่มีใครโจมตีคนที่คอยสนับสนุนฉันมาตลอด เช่นผู้จัดการ, อากิโมโตะซัง ช่างแต่งหน้า และทีมงานที่ฉันเชื่อใจ ไม่งั้นแล้วฉันคงเจ็บปวดอย่างที่สุด แล้วก็ หวังว่าคนดูจะไม่เชื่อทุกอย่างที่แสดงออกและพูดออกมาในงานชิ้นนี้ อย่างที่คิดไว้ มันยากมากสำหรับฉันที่จะถ่ายทอดเรื่องราวทั้งหมดในช่วงห้าปีนี้ อย่าคิดว่าทั้งหมดมีแค่ในสารคดี เพราะมีอะไรเกิดขึ้นอีกหลายอย่าง... ไม่นานนี้ ตอนคุยกับผู้จัดการ ฉันยังบอกว่า "หวังว่าจะมีวันที่ฉันสามารถบอกได้ทุกอย่าง”
.
Q: ผมก็คิดแบบนั้น คงดีถ้ามีโอกาสนั้นสักวันหนึ่ง
H: ถึงจะไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ ฉันไม่คิดว่าฉันจะ “เงียบตลอดไป” ไม่ว่าจะงานแบบไหน แม้แต่สารคดี ก็เป็นการยกย่องเชิดชู แถมชื่อเรื่อง “Our Lies and Truth” คนเสนอก็ไม่ใช่อากิโมโตะซัง เลยมีความคลางแคลงอยู่บ้าง ฉันคงเศร้ามากถ้าผู้ชมคิดว่าสิ่งที่แสดงออกถึงตอนนี้เป็นคำโกหก และมีแต่สิ่งที่เห็นในสารคดีเป็นความจริง
แต่บางคนอาจบอกว่า “งั้นฮิราเทะควรออกมาพูดนะ” บอกตามตรง ตอนนี้ไม่เหมาะนัก แถมฉันยังมีเหตุผลส่วนตัวในแง่จิตวิญญาณ ฉันเสียใจมากและรู้สึกผิด แต่ยังหวังว่าคนดูจะไม่คิดว่าสิ่งที่เห็นในสารคดีเป็นความจริงทั้งหมด
.
Q: แบบนี้เอง อ๊ะ ผ่านไปสามชั่วโมงแล้ว
H: ฉันไม่รู้เลยว่าจะถูกขอให้สัมภาษณ์วันนี้
.
Q: พูดอะไรของคุณเนี่ย (หัวเราะ)
H: ไม่นะ หมายถึง ฉันไม่ได้ออกซีดีหรือประกาศอะไรเป็นสาธารณะ ตอนได้รับข่าวนี้ก็เลยตกใจและ “เอ๊ะ?” ฉันดีใจจริงๆ ที่ถูกขอสัมภาษณ์ ถึงจะประหม่าเล็กน้อย เดิมทีฉันอยากคุยเกี่ยวกับเพลงมากกว่านี้หน่อย แต่ไปๆ มาๆ เวลาก็หมดเสียแล้ว (หัวเราะ)
.
Q: ถ้าอย่างนั้น เจอกันปีหน้าครับ
H: ค่ะ จะพูดยังไงดี ฉันยินดีมากค่ะ ขอบคุณสำหรับวันนี้
0 notes